วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 4)


หนังสือตำราเรียนทั้งหมด ถูกจับหย่อนลงใบลังกระดาษสามสี่ใบ แล้วย้ายไปเก็บไว้ในห้องใต้บันได กระเป๋า puma ถูกบรรจุด้วยเสื้อผ้าสองสามชุด และของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย วันนี้เด็กวัยรุ่นจิตตกตัดสินใจเดินทางไปหาพ่อที่ต่างจังหวัด และยังไม่ตัดสินใจเรื่องการเรียนต่อใดๆเลย 

รถโดยสารวิ่งออกจากกรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นบ้านเกิด เป็นที่อยู่ เรียนและเติบโตมาเพื่อนฝูงมากมาย อยู่ที่กรุงเทพ วันนี้เธอไปตัวเปล่าๆ ไม่แม้แต่จะบอกเพื่อนว่าเธอกลับบ้าน ไม่ทิ้งไว้แม้กระทั่งเบอร์โทรติดต่อและที่อยู่ให้กับใครๆทั้งสิ้น รถโดยสารวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงปลายทางที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด เธอเดินลงมาอย่างไร้ชีวิตชีวา เพื่อต่อรถอีกต่อหนึ่งเพื่อไปยังบ้านที่เป็นที่ทำงานของพ่อด้วย พ่อรู้หมดแล้วว่าเธอเอ็นท์ไม่ติด ทางสายโทรศัพท์ แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเธอไม่อยู่ในอาการที่จะให้คำอธิบายใดๆมากนัก พ่อไม่ได้พูดอะไรที่จะบั่นทอนกำลังใจ มิหนำซ้ำยังบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย คนเค้าเอ็นท์ไม่ติดกันเป็นหมื่นเป็นแสน จะมาหาพ่อก็มา 

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไปบนรถ หลับบ้างตื่นบ้าง ระยะทาง 60 กิโลเมตร รถวิ่ง 2 ชั่วโมง สมแล้วที่เค้าเรียกกันว่ารถหวานเย็น ลงรถแล้วยังต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างต่ออีก 20 บาท มันคงไกลพอแล้ว สำหรับการหยุดพักจากการรับฟังคำถาม คำแนะนำจากใครๆ จากข่าวดีของเพื่อนๆ และช่วงเวลานี้คนที่พลาดโอกาสไม่ควรจะจับกลุ่มพูดคุยกัน เราควรไปตั้งหลักกันเสียก่อน อันนี้เธอคิดได้เอง 

    ภาพตัวอย่างรถโดยสารที่เค้าเรียกกันว่า รถหวานเย็น

พ่ออยู่ใน Office นี่ก็อีกไม่ถึงสองชั่วโมงพ่อก็จะเลิกงานแล้ว มีลูกน้องพ่อหลายๆคนยังนั่งทำงานอยู่ พี่คนหนึ่งเป็นเสมียนที่รู้จักกันอยู่บ้าง เพราะเธอจะมาอยู่กับพ่อตอนปิดเทอม ถามขึ้น "จบมอ 6 แล้วนิ จะสอบเข้าที่ไหน" โหย!! โคตรจะไม่อยากได้ยินคำถามนี้เลย " 555 พี่หน่อง น้องเพิ่งอกหักมาเนี่ย เอ็นท์ไม่ติดอ่ะ ยังเศร้าอยู่เลย ขอลี้ภัยที่นี่สักพักก่อน เรียนมาก เครียด!!" พี่เค้าหยอกล้อนิดๆ แบบเอ็นดู พ่อเลิกงานแล้ว ถามว่า อยากกินอะไร ก็ไม่ได้บอกว่าอยากกินอะไร แต่พ่อก็พาไปกินอาหาร ข้างนอกไม่กินอาหารในโรงอาหารที่ทำงาน อาหารบนโต๊ะตั้งสามสี่อย่างออกมา กินๆๆ เหมือนคนตายอกตายอยาก พ่อถามจะเรียนต่อที่ไหนก็ไปหาข้อมูลมา บอกพ่อว่ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวนึกได้แล้วจะบอก พ่อไม่ได้เคี่ยวเข็ญอะไรอีก แต่พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ว่า "การเอ็นทรานซ์มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดและมันไม่ได้วัดว่าคนที่สอบได้จะสำเร็จ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการจะก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วที่สำคัญ คนเรามีทางเลือกที่จะไปสู่ความสำเร็จได้หลายทาง ลองไปคิดดู เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ได้ พ่อส่งเอง" อันนี้เป็นสุดยอดวาทะประจำปีของพ่อเลย เธอคิดอย่างนั้น แต่ไม่บอกพ่อหรอก เดี๋ยวพ่อจะเขิน 

อยู่ที่ทำงานพ่อเรื่อยๆ จนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ก็ยังไม่มีคำตอบให้พ่อเลยว่าจะเรียนอะไร เช้าๆช่วงปิดเทอมใหญ่หัวใจบอบช้ำ ก็แต่งตัวเหมือนคนงาน ขึ้นไปบนเล้าไก่ เก็บไข่ช่วยคนงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง ไปโรงฟักไข่ ดูมันออกมาร้องเจี๊ยบจ๊าบเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เช้ากลางวันเย็น กินเข้าในโรงอาหารเหมือนคนงาน บางห้องพักของคนงานเค้าทำส้มตำปลาร้า เค้าถามว่า ลูกผู้จัดการกินเป็นมั้ยครับ เธอตอบอย่างนึกสู้ "ซำบายมาก" ที่นี่เธอไม่เคยทำตัวเป็นลูกเจ้านาย ที่นี่สอนสิ่งแปลกใหม่มากมายที่ไม่มีสอนในตำรา คนงานสอนนึ่งข้าวเหนียว จับปูนา สับมะละกอ รีดนมวัว 


เรื่องน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน เกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 เดือน หัวค่ำของคืนวันหนึ่งขออนุญาตพ่อไปดูรถมาจับไก่ ซึ่งเค้าก็มาจับมันไปเชือดนั่นแหละ คนงานจับไก่ลงกล่องกันแบบมืออาชีพสุดๆ มันคืองานๆ(ในใจคิดว่านี่มันจะบาปกรรมมั้ยล่ะเนี่ย ไก่เป็นร้อยเป็นพัน ต้องเอากล่องพลาสติก มาแล้วจับไก่ 5 ตัวยัดลงไป แล้วซ้อนกันขึ้นชั่งบนตาชั่ง ตอนจับมันดูแล้วน่าตื่นเต้น คนงานจะจับที่ขามันแล้วเหวี่ยงมันลงไปในกล่องด้วยความรวดเร็วพอครบ 5 ตัวเค้าก็จะ ยกกล่องนั้นโยนขึ้นไปบนรถมีคนงานส่วนหนึ่งรออยู่บนนั้น เพื่อรอจัดเรียงเป็นแถวๆ ใจนึงก็อยากลอง ใจนึงก็กลัว สุดท้ายก็ เอาวะ ต้องลอง ตัวแรกๆกว่าจะจับได้ กล้าๆกลัวๆ คนงานเลี้ยงไก่ เว้าภาษาอีสาน แปลเป็นไทยได้ความว่า ไม่ต้องกลัว ทำอย่างนี้ เลือกตัวที่มันหันหลังก็ได้ จับขามันโยนใส่กล่องเลย ยึกยักอยู่ช่วงแรกๆ ไม่นาน ไก่ 200 กล่อง 1000 ตัวก็ถูกลำเลียงขึ้นรถ นี่คืองานหนึ่ง มันเป็นอาชีพของเค้า เค้าคือ "ครู" ของเรา นี่ไง สิ่งที่เธอได้ ก่อนคนได้ใบปริญญา  วันนั้น เธอได้เบี้ยเลี้ยง ที่มาลงจับไก่ด้วย 150 บาท ดีใจมากเลย แต่มันหมดภายในวันรุ่งขึ้น 

หมดเวลาแห่งความบันเทิง เช้าวันหนึ่งพ่อถามว่า จะเอายังไง จะเปิดเทอมแล้ว จะเรียนที่ไหนหรือยังไง เค้าสมัครกันแล้วหรือยัง ความจริงแล้วยังไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะในเรื่องเรียน แต่ก็ตอบพ่อไปว่า ตัดสินใจแล้ว พ่อถามว่าที่ไหน ตอบพ่อว่า โรงเรียน...อยู่ในตัวเมือง จะเรียน ปวส.  เค้ารับสมัคร เด็กจบ ม.ปลาย แต่เรียน 2 ปี กับอีก 2 ซัมเมอร์ มีสองสาขา มีบริหารธุรกิจ บัญชี กับบริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ ลูกเลือกอย่างหลัง เด็กหญิงตอบอย่างคนมีข้อมูล จนพ่อต้องถามกลับว่า ไปรู้จักโรงเรียนนี้แต่เมื่อไร เพราะอยู่กรุงเทพแต่เล็กแต่น้อย เธอหันมาถามพ่อ "พ่ออยากรู้จริงๆรึเปล่า 555 ลูกฟังมาจากคลื่นวิทยุ ชุมชน เห็นมันโฆษณาทุกวันเลย เอาที่นี่เลยละกัน มุมมองโลกของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ต้องมหาวิทยาลัยก็ได้ ความรู้มันอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ที่มหาวิทยาลัย ดูคนงานเลี้ยงไก่ คัดไข่เร็วกว่าเธอ เรียงไข่ต่อแผงเร็วกว่า นี่ล่ะ อาจารย์ ที่ฟาร์มแห่งนี้ เธอเรียกคนจบ ป.6 ม.3 ว่าอาจารย์อยู่หลายคน 





พ่อไม่มีคำแนะนำอะไร และพาไปสมัครในที่สุด วันเปิดเทอมวันแรก กับชุดที่ต้องใส่สูททับลงไป เมื่อยืนกลางแดดร้อน หน้าเสาธง ร้อนตับจะแตกตาย ผอ. ขึ้นมากล่าวต้อนรับเปิดเทอม รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลเรื่อยลงไปจากแผ่นหลัง ถ้าไม่ติดขอบกระโปรงที่ถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัด มันคงไหลลงไปถึงง่ามก้น รองเท้าส้นสูง ก็สร้างความทรมานไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เด็กในชั้นปีอื่นๆ ที่ได้เรียนร่วมกันมาแล้วในปีก่อนๆ พูดคุยกันเป็นคู่ๆ ส่วนในแถวเรา ทุกคนน่าจะไม่ได้รู้จักกัน เราจึงได้แต่ฟัง ผอ. พูดจนจบและแยกย้ายไปตามห้องเรียน




มันเป็นความแปลกใหม่ในโลกของการศึกษา สมัยนั้น มันเป็นช่วงของคอมพิวตอร์ในยุคแรกๆ ที่แผ่นดิส ยังเป็นแผ่นอ่อนอยู่ แผ่นใหญ่่ๆ และเธอก็เพิ่งจะรู้จักมันเป็นครั้งแรก หมายถึงที่ต้องมาจับต้องและใช้งาน ส่วนเคยเห็นน่ะเคยเห็นมาแล้ว แต่ช่วงม.ปลายสมัยนั้นยังไม่เปิดเรียนคอมพิวเตอร์กันเลย นั่งมองแป้นพิมพ์แล้วคิดในใจว่า เราจะเรียนได้หรือเปล่านี่ ครูที่สอน ก็เริ่มสอนตั้งแต่เปิดสวิตท์หลังเครื่อง กดปุ่ม power on-off จนถึงการปิดเลย แต่เท่าที่รู้ๆคือทุกๆคนในห้อง(จบ ม.6เหมือนกันหมด )ไม่มีใครเคยใช้มาก่อนเหมือนกัน ในการเรียน ที่นี่ เด็ก ปวส.บริหารต้องเรียนพิมพ์ดีดด้วยในห้องพิมพ์ดีด ครั้งที่เราเดินเรียนในวันแรกไปถึงห้องพิมพ์ดีด รุ่นน้องยังเรียนไม่เสร็จ ต้องไปยืนรอ แม่เจ้า!! จะเทพไปไหน ทุกคนในห้องรัวมือไปบนแป้นพิมพ์ มือมองเอกสารด้านข้าง ว่องไว มากๆ เหมือนทุกคนกำลังแข่งขันกัน ในบรรยากาศ ตรงนั้น มีแต่เสียงก้านพิมพ์ที่กระทบกระดาษบนแกน นี่มันโลกใหม่จริงๆนะ แต่หญิงสาวเธอคือคนที่มาจากโลกใบเดิม โลกที่เธอคุ้นเคย เหมือนมาจากดาวอีกดวงหนึ่ง เมื่อเธอมานั่งหน้าแป้นพิมพ์ ครูให้ท่อง "ฟ ห ก ด    ่  า ส ว "  พิมพ์ชุดคำนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งหน้ากระดาษ ลีลาแตกต่าง เพราะต้องคอยแอบมองบนกระดาษ เพราะมันคอยจะผิดอยู่เรื่อย เธอรู้สึกขำตัวเอง นึกขำๆ นี่เราไปอยู่โลกไหนมาเนี่ย เราถึงเพิ่งมารู้จักกับสิ่งนี้ ครูมัธยมยังให้เขียนรายงานเป็นหน้าๆอยู่เลย ที่นี่เค้าสอนพิมพ์ดีด ตั้งแต่ ปวช.ปี1 หมายถึง ม.4 เด็กที่อายุเท่าเราที่นี่ พิมพ์ดีดเป็นแล้ว อัยย่ะ !! ตอนเราจบ ม.3 เรามองข้ามสายอาชีพไปเลย ที่บ้านบอกว่ามันไม่ดี เพื่อนๆก็ต่อ ม.ปลายกัน คนไหนไปเรียนพานิชย์ เราก็ไม่ได้ไปถามไถ่อะไรเลย ก็เหมือนอยู่คนละซีกกันเลยนะ คิดแล้ว เสียดายเวลา




อ่านต่อตอนหน้านะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น