วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่3)

"จะมีลูกสักกี่คนที่ไม่รู้ว่า แม่ตัวเองชื่อนามสกุลอะไร ที่เธอเขียนมานี่ไม่ตรงกับเอกสาร ในใบสูติบัตรที่ทางโรงเรียนมีอยู่นะ เอ้า เธอเอาแผ่นนี้ไปกรอกใหม่ แม่เธอเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ..โธ่ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่จะเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ก็คนไม่มีแม่ เด็กหญิงที่กำลังจะจบ การศึกษาในระดับประถมพึมพำในใจ 

ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรออก เสียงครูก็ดังแหวกอากาศขึ้นมา นี่เธอ วันนี้เธอจะกรอกส่งเลยไหม??  หรือจะเอามาส่งครูพรุ่งนี้??  อ๋อ วันนี้เลยค่ะ คุณครู หนูจะรีบขอ ใบ รบ.ไปสมัครเข้าเรียน ม.1 หนูขอใบเกิดมาลอกหน่อยได้มั๊ยคะ?? ครูยื่นแฟ้มบวมๆ มาวางข้างหน้า พร้อมกับพูดอย่างเบื่อหน่าย เธอจะไปทำอะไรรุ่งเรืองเห๊อะ!! ไม่มีความพร้อมอะไรเลย สำเนาบัตรประชาชนแม่เธอก็ไม่มี ชื่อแม่เธอก็เขียนผิด นี่ๆ เห็นมั้ย ชื่อแม่เธอน่ะชื่อนี้ เธอเขียนผิดเป็นคนละคำคนละชื่อเลย นามสกุลแม่กับพ่อเธอก็ใช้คนละนามสกุลกัน เธอไม่รู้หรือไง??  

ค่ะ คุณครู หนูไม่รู้เลย หนูเพิ่งรู้วันนี้แหละว่า พ่อกับแม่หนูใช้คนละนามสกุล และก็เพิ่งมารู้ด้วยว่า แม่หนูชื่อนี้ ใบเกิดใบนี้คงเป็นสำเนา ตัวจริงคงอยู่กับพ่อที่ต่างจังหวัด หนูก็กรอกชื่อกับนามสกุล ผิดอย่างนี้มาตั้งแต่หนูเขียนหนังสือได้ เพราะหนูไม่ได้อยู่กับแม่ และที่บ้านก็ไม่มีบัตรประชาชนแม่ด้วย 

เด็กหญิงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ โรงเรียนใกล้เลิกแล้ว เธอยังไม่ได้ขึ้นไปบนห้องเรียน เพื่อเก็บกระเป๋านักเรียนเลย เธอต้องมานั่งกรอกเอกสารใหม่ ในเอกสารอีกใบ สมัยก่อน มีแต่ยางลบแปดเหลี่ยมสำหรับลบปากกา ครูเลยให้มานั่งกรอกทั้งใบเพราะคงกลัวมันจะเลอะเทอะ แม่นะแม่ แม่อีกแล้วนะ ที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวาย พ่อก็อีกคน แค่ชื่อแม่ก็ไม่เคยบอก รู้แต่ชื่อเล่น ของแม่ โธ่เอ้ย แล้วครูยังจะว่าอีก ว่าแต่แรกก็น่าจะเขียนมาเลยว่า หย่าร้าง จะมากรอกทำไมว่าสมรส นามสกุลเดียวกัน ที่อยู่เดียวกัน วุ่นวาย!!! ....  ทุกอย่างๆๆๆๆๆๆ มันเริ่มต้นวุ่นวายมาตั้งแต่แรก คงตั้งแต่แม่ทิ้งพวกเราไป หนูจะเกลียดแม่ และหนูก็จะไม่กลับมาโรงเรียนนี้อีกด้วย และเราจะเริ่มต้นกันใหม่ จะไม่มาพูดเรื่องแม่กันอีก กำลังจะจบแล้ว

ชีวิตใหม่เริ่มต้นในโรงเรียนมัธยม ความสนุกสนาน มีแต่สิ่งใหม่ เดินเรียนขึ้นอาคารโน้นลงอาคารนี้ โรงเรียนนี้ใหญ่โต มีนักเรียน ที่สอบผ่านเข้ามาเรียนในชั้น มัธยม 1 ตั้ง 500 คน เด็กหญิงคนเดิมในโรงเรียนใหม่ เธอจำได้แม่นยำ ว่า เธอกรอกลงตรงสถานภาพสมรสของพ่อแม่ว่า "แยกกันอยู่" แค่นั้น และจะไม่พูดถึงมันอีกที่นี่ เรียนให้สนุก เล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรม ห้องสมุดกว้างมาก มีห้องสมุดแบบโสตทัศนศึกษา เข้าไปนั่งดู VDO ฟังเพลงกันได้เลย เด็กหญิงรู้สึกภูมิใจที่เธอเป็น 1 ใน 500 คนที่สอบผ่านและได้มาเรียนที่นี่ พ่อและคนที่บ้าน ทุกคนพอใจ เธอไม่คิดอะไรต่อจากนี้อีกแล้ว เรียนๆๆ 

มีครูสมัยประถม คนหนึ่ง เคยสอนวิธีการอ่านหนังสือเรียนให้กับลูกศิษย์ในชั้นเรียน มันเป็นวิธีที่สุดยอดและเธอก็ใช้วิธีนั้นมาตลอดตั้งแต่ ป.3 คืออ่านบทเรียนล่วงหน้ามาก่อน ที่จะมีการสอน ถ้าทำการบ้านเสร็จ จัดตารางสอนแล้ว ก่อนจะหย่อนหนังสือลงกระเป๋า เธอก็จะอ่านหนังสือพวกนั้นเสียก่อน หนึ่งบท หลายๆคนในห้องก็ใช้วิธีนี้กัน เธอสังเกตุได้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ที่หลายคนรู้เนื้อหามาก่อน แต่สิ่งที่เธอมักทำเพิ่มจากที่ครูสั่งคือการ สรุปเป็นโน๊ตย่อ สำหรับบทนั้นๆ ลงในกระดาษสมุดหน้ากลาง แล้วนำมาพับเป็นสี่ตอน เขียนทั้งด้านหน้าด้านหลังได้ถึงแปดคอลัม มันเป็นไอเดียร์ที่ดีมากๆ และมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อนำมาใช้ในช่วงมัธยม เพราะต้องนั่งรถเมล์ไปเรียน ซึ่งอย่างน้อยก็ใช้ฆ่าเวลาในช่วงรถติดได้อย่างดีทีเดียว ในส่วนเนื้อหาที่สรุปจะเขียนด้วยปากกาน้ำเงิน ส่วนพวกสูตร คำศัพท์ และส่วนที่สำคัญจะถูกเขียนด้วยปากกาแดง ถ้ามีเวลามาก คำศัพ์ในวิชาภาษาอังกฤษจะถูกแปลมาแล้ว รวมทั้งคำตอบที่อยู่ท้ายบทก็จะถูกทำไว้แล้วด้วยเช่นกันในกระดาษโน๊ตนี้ แต่ในหนังสือเรียนมักไม่เขียนอะไรลงไป เพราะมันเป็นหนังสือที่ยืมเรียน ต้องให้รุ่นน้องได้ใช้ต่อ 



ถึงแม้บางอย่างที่เธอรู้คำตอบในสิ่งที่ครูถามเธอก็มักจะไม่เลือกที่จะเป็นคนยกมือขึ้นตอบ เพื่อให้คนที่เค้าเป็นเจ้าประจำอยู่แล้วได้ตอบ เพราะเป็นสิ่งที่เค้าชอบ นอกเสียจากว่าครูจะชี้นิ้วเรียกเธอให้ตอบ เพราะเธอจะเป็นพวกนั่งแถวหลังและอยู่ริมหน้าต่าง เป็นโซนเดียวกับพวกเรียนหางแถว ที่เป็นกลุ่มสาระไม่เน้น เน้นความบันเทิง ซึ่งเธอมักจะเป็นคนหยิบยื่น คำตอบให้เพื่อนกลุ่มนี้เสมอ ถ้าครูยิงคำถามยากมาให้ อาจเป็นเพราะอยากให้เพื่อนๆรัก เลยไม่อยากให้ใครสักคนรู้สึกหมั่นไส้ จึงวางตัวอยู่กลางๆ ไม่อยากเด่นอยากดัง ซึ่งลึกๆก็คือ ไม่อยากให้ใครมาขุดปมที่อยู่ลึกๆเรื่องเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง เด็กบ้านแตก มาพูดกันอีกแบ้วกระมัง

ช่วง ม.ต้น ไม่ค่อยมีอะไรกดดันเท่ากับช่วง ม.ปลาย เพราะพอขึ้นเรียนชั้น ม.4 จะถูกแยกให้เรียนไปตามสาขาต่างๆชัดเจนมากขึ้นแล้ว หลายๆคนทำกิจกรรมน้อยลง แล้วหันไปเคร่งเครียดกับตำหรับตำรามากขึ้น บางทีมันมากจนดู เกินไป มากจนกลายเป็นเหมือนคนเห็นแก่ตัว หญิงสาวรู้สึกอย่างนั้น ก็จะไม่ให้รู้สึกได้อย่างไร เพื่อนบางคน ทิ้งเวรทำความสะอาดตอนเย็นด้วยเหตุผลว่าต้องไปติวเตรียมสอบ เพื่อนหลายๆคนในห้องไม่ได้ไปเรียนกวดวิชา แต่อยากได้แนวเนื้อหาจากสถาบันกวดวิชาจากกลุ่มเด็กเรียน(เยอะ)บ้าง พวกนี้ก็จะแสดงอาการ "หวง" และบ่ายเบี่ยงต่างๆนาๆ เพราะเค้ามองว่า มันคือสิทธิที่อยู่เหนือคำว่ามิตรภาพ ซึ่งหญิงสาวไม่ได้ใส่ใจ เรื่องการเรียนมากจนละทิ้งความสุขที่ควรจะมี เพราะอะไรน่ะหรือ ความสุขมันเป็นสิ่งหายาก เธอต้องการมีเพื่อน ต้องการหัวเราะ ได้เล่นบาสกับเพื่อนๆ กลางวันแดดเปรี้ยงๆ ก็สุข การอยู่ในชมรมอาสา ก็สุข การจับกลุ่มกันร้องเพลงกับเพื่อนๆในห้องก็สุข การเรียน ก็เป็นความสุข การแว๊บไปนั่งเรียนกับเพื่อนห้องอื่นในชั่วโมงที่เป็นคาบว่างของตัวเองก็เป็นความสุข จึงไม่แปลกที่ใครๆในรุ่นจะรู้จักเธอมากมาย และเรียกเสียงฮาจากใครต่อใครได้เสมอ มันไม่ควรจะต้องมาแข่งขันอะไรกันในห้องเรียนมากมาย  เธอยอมจะทำเรื่องตลกๆให้เพื่อนได้ขำเสียมากกว่า เมื่ออยู่ในชั้นเรียน ช่วง ม.ปลาย ซึ่งมันทำให้เพื่อนๆทุกกลุ่มยอมรับเธอ เป็นมิตรต่อกันมากกว่าที่จะทำตัวฉลาด มีหลักการณ์อวดรู้ให้เพื่อนๆ หมั่นไส้ แต่มักจะทำตัวเป็นเสือซุ่ม เมื่อกลับถึงบ้าน ซึ่งเป็นเฉพาะช่วงก่อนสอบ แค่หนึ่งหรือสองสัปดาห์ 

มันเป็นกฏหรือเปล่า?? หรือมันเป็นโครงสร้างของเยาวชนหรือเปล่า?? ที่เด็กที่เรียนสายสามัญจะต้องสอบเอนทรานซ์ เข้าสถาบันอุดมศึกษา ให้ได้ ตอนนี้เด็กสาวในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเองก็ถูกกดดัน เสียงคนที่บ้าน คุณปู่คุณอา พูดแต่ว่า คนข้างบ้านโชคดี เค้าติดวิศวะ ลูกบ้านนั้นปีที่แล้วเค้าติดนิเทศ ลูกคนโน้นไปเรียนหมอ ลูกคนนี้ไปเรียนโน่น เรียนนี่ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว เพื่อนหลายๆคนพ่อแม่เค้าให้ไปเรียนกวดวิชากันทุกเย็นหลังเลิกเรียน และวันเสาร์อาทิตย์เต็มวัน เด็กหญิงคนนี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครเลยที่รู้ว่า เธอเดินมาผิดทาง เพราะตอนจบ ม.ต้น เธอเลือกเรียนตามเพื่อน ในสายการเรียนวิทย์-คณิตย์ ทำให้ต้องทั้งเสียเงินและเสียเวลา ติว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อยู่ที่ตึกที่มีรูป ไอสไตน์ ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ เสียสองปี แต่ในโค้งสุดท้ายตัดสินใจ จะสอบเอนทรานซ์ และเลือกสอบในคณะที่อยู่ในสาย คณิต-อังกฤษ แทน และเลวร้ายที่สุด เธอไม่ติด!!  



เจ้ากรรม ทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ มันย่ำแย่ขนาดนั้น เค้าจะรู้บ้างมั้ยว่าแค่การที่เพื่อนๆ โทรมาแล้วบอกว่าคนนั้นติดที่โน่นที่นี่ และคำตอบที่ต้องบอกเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "ชั้นเอ็นฯไม่ติดว่ะ". มันก็ทำให้เด็กเสียกำลังใจไปมากพอแล้ว เด็กหญิงเก็บตัวอยู่ในห้องลำพัง อยู่เงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความผิดหวังไหลออกมา ไม่มีคำปลอบโยนหรือให้กำลังใจใดๆ จากผู้ปกครอง นอกจากเสียงห้วนๆที่บอกว่า ออกมากินข้าวได้แล้ว?? ซึ่งมีเพียงคำตอบจากในห้องขังนั้นตะโกนออกมาว่า. "ยังไม่หิว กินไปก่อนเลย" เธอไม่กล้าพอที่จะยกหูโทรศัพท์ ไปบอกพ่อ ที่อาจกำลังรอข่าวดีจากเธออยู่ ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างโหดร้าย มันกลับมาอีกแล้ว ความผิดหวัง เธอกำลังมองหาใครสักคนหนึ่งมารับผิดชอบความรู้สึกนี้..แม่..แต่ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ครั้งนี้เธอร้องหาแม่เบาๆ ในใจ "แม่..ถ้าแม่อยู่ แม่จะพูดอะไรบ้าง แม่จะปลอบใจหนูมั๊ย แม่อาจจะบอกว่าไม่เป็นไร หนูเสียใจ แม่กอดหนูหน่อย หนูไม่ไหวเลย!!!"  ทำไมแม่ไม่มาอยู่ข้างๆเวลานี้..เวลานี้ เธอไม่รู้สึกเกลียดใครเท่าเกลียดตัวเองเลย 


รออ่านตอนหน้าค่ะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น