วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 4)


หนังสือตำราเรียนทั้งหมด ถูกจับหย่อนลงใบลังกระดาษสามสี่ใบ แล้วย้ายไปเก็บไว้ในห้องใต้บันได กระเป๋า puma ถูกบรรจุด้วยเสื้อผ้าสองสามชุด และของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย วันนี้เด็กวัยรุ่นจิตตกตัดสินใจเดินทางไปหาพ่อที่ต่างจังหวัด และยังไม่ตัดสินใจเรื่องการเรียนต่อใดๆเลย 

รถโดยสารวิ่งออกจากกรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นบ้านเกิด เป็นที่อยู่ เรียนและเติบโตมาเพื่อนฝูงมากมาย อยู่ที่กรุงเทพ วันนี้เธอไปตัวเปล่าๆ ไม่แม้แต่จะบอกเพื่อนว่าเธอกลับบ้าน ไม่ทิ้งไว้แม้กระทั่งเบอร์โทรติดต่อและที่อยู่ให้กับใครๆทั้งสิ้น รถโดยสารวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงปลายทางที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด เธอเดินลงมาอย่างไร้ชีวิตชีวา เพื่อต่อรถอีกต่อหนึ่งเพื่อไปยังบ้านที่เป็นที่ทำงานของพ่อด้วย พ่อรู้หมดแล้วว่าเธอเอ็นท์ไม่ติด ทางสายโทรศัพท์ แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเธอไม่อยู่ในอาการที่จะให้คำอธิบายใดๆมากนัก พ่อไม่ได้พูดอะไรที่จะบั่นทอนกำลังใจ มิหนำซ้ำยังบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย คนเค้าเอ็นท์ไม่ติดกันเป็นหมื่นเป็นแสน จะมาหาพ่อก็มา 

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไปบนรถ หลับบ้างตื่นบ้าง ระยะทาง 60 กิโลเมตร รถวิ่ง 2 ชั่วโมง สมแล้วที่เค้าเรียกกันว่ารถหวานเย็น ลงรถแล้วยังต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างต่ออีก 20 บาท มันคงไกลพอแล้ว สำหรับการหยุดพักจากการรับฟังคำถาม คำแนะนำจากใครๆ จากข่าวดีของเพื่อนๆ และช่วงเวลานี้คนที่พลาดโอกาสไม่ควรจะจับกลุ่มพูดคุยกัน เราควรไปตั้งหลักกันเสียก่อน อันนี้เธอคิดได้เอง 

    ภาพตัวอย่างรถโดยสารที่เค้าเรียกกันว่า รถหวานเย็น

พ่ออยู่ใน Office นี่ก็อีกไม่ถึงสองชั่วโมงพ่อก็จะเลิกงานแล้ว มีลูกน้องพ่อหลายๆคนยังนั่งทำงานอยู่ พี่คนหนึ่งเป็นเสมียนที่รู้จักกันอยู่บ้าง เพราะเธอจะมาอยู่กับพ่อตอนปิดเทอม ถามขึ้น "จบมอ 6 แล้วนิ จะสอบเข้าที่ไหน" โหย!! โคตรจะไม่อยากได้ยินคำถามนี้เลย " 555 พี่หน่อง น้องเพิ่งอกหักมาเนี่ย เอ็นท์ไม่ติดอ่ะ ยังเศร้าอยู่เลย ขอลี้ภัยที่นี่สักพักก่อน เรียนมาก เครียด!!" พี่เค้าหยอกล้อนิดๆ แบบเอ็นดู พ่อเลิกงานแล้ว ถามว่า อยากกินอะไร ก็ไม่ได้บอกว่าอยากกินอะไร แต่พ่อก็พาไปกินอาหาร ข้างนอกไม่กินอาหารในโรงอาหารที่ทำงาน อาหารบนโต๊ะตั้งสามสี่อย่างออกมา กินๆๆ เหมือนคนตายอกตายอยาก พ่อถามจะเรียนต่อที่ไหนก็ไปหาข้อมูลมา บอกพ่อว่ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวนึกได้แล้วจะบอก พ่อไม่ได้เคี่ยวเข็ญอะไรอีก แต่พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ว่า "การเอ็นทรานซ์มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดและมันไม่ได้วัดว่าคนที่สอบได้จะสำเร็จ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการจะก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วที่สำคัญ คนเรามีทางเลือกที่จะไปสู่ความสำเร็จได้หลายทาง ลองไปคิดดู เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ได้ พ่อส่งเอง" อันนี้เป็นสุดยอดวาทะประจำปีของพ่อเลย เธอคิดอย่างนั้น แต่ไม่บอกพ่อหรอก เดี๋ยวพ่อจะเขิน 

อยู่ที่ทำงานพ่อเรื่อยๆ จนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ก็ยังไม่มีคำตอบให้พ่อเลยว่าจะเรียนอะไร เช้าๆช่วงปิดเทอมใหญ่หัวใจบอบช้ำ ก็แต่งตัวเหมือนคนงาน ขึ้นไปบนเล้าไก่ เก็บไข่ช่วยคนงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง ไปโรงฟักไข่ ดูมันออกมาร้องเจี๊ยบจ๊าบเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เช้ากลางวันเย็น กินเข้าในโรงอาหารเหมือนคนงาน บางห้องพักของคนงานเค้าทำส้มตำปลาร้า เค้าถามว่า ลูกผู้จัดการกินเป็นมั้ยครับ เธอตอบอย่างนึกสู้ "ซำบายมาก" ที่นี่เธอไม่เคยทำตัวเป็นลูกเจ้านาย ที่นี่สอนสิ่งแปลกใหม่มากมายที่ไม่มีสอนในตำรา คนงานสอนนึ่งข้าวเหนียว จับปูนา สับมะละกอ รีดนมวัว 


เรื่องน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน เกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 เดือน หัวค่ำของคืนวันหนึ่งขออนุญาตพ่อไปดูรถมาจับไก่ ซึ่งเค้าก็มาจับมันไปเชือดนั่นแหละ คนงานจับไก่ลงกล่องกันแบบมืออาชีพสุดๆ มันคืองานๆ(ในใจคิดว่านี่มันจะบาปกรรมมั้ยล่ะเนี่ย ไก่เป็นร้อยเป็นพัน ต้องเอากล่องพลาสติก มาแล้วจับไก่ 5 ตัวยัดลงไป แล้วซ้อนกันขึ้นชั่งบนตาชั่ง ตอนจับมันดูแล้วน่าตื่นเต้น คนงานจะจับที่ขามันแล้วเหวี่ยงมันลงไปในกล่องด้วยความรวดเร็วพอครบ 5 ตัวเค้าก็จะ ยกกล่องนั้นโยนขึ้นไปบนรถมีคนงานส่วนหนึ่งรออยู่บนนั้น เพื่อรอจัดเรียงเป็นแถวๆ ใจนึงก็อยากลอง ใจนึงก็กลัว สุดท้ายก็ เอาวะ ต้องลอง ตัวแรกๆกว่าจะจับได้ กล้าๆกลัวๆ คนงานเลี้ยงไก่ เว้าภาษาอีสาน แปลเป็นไทยได้ความว่า ไม่ต้องกลัว ทำอย่างนี้ เลือกตัวที่มันหันหลังก็ได้ จับขามันโยนใส่กล่องเลย ยึกยักอยู่ช่วงแรกๆ ไม่นาน ไก่ 200 กล่อง 1000 ตัวก็ถูกลำเลียงขึ้นรถ นี่คืองานหนึ่ง มันเป็นอาชีพของเค้า เค้าคือ "ครู" ของเรา นี่ไง สิ่งที่เธอได้ ก่อนคนได้ใบปริญญา  วันนั้น เธอได้เบี้ยเลี้ยง ที่มาลงจับไก่ด้วย 150 บาท ดีใจมากเลย แต่มันหมดภายในวันรุ่งขึ้น 

หมดเวลาแห่งความบันเทิง เช้าวันหนึ่งพ่อถามว่า จะเอายังไง จะเปิดเทอมแล้ว จะเรียนที่ไหนหรือยังไง เค้าสมัครกันแล้วหรือยัง ความจริงแล้วยังไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะในเรื่องเรียน แต่ก็ตอบพ่อไปว่า ตัดสินใจแล้ว พ่อถามว่าที่ไหน ตอบพ่อว่า โรงเรียน...อยู่ในตัวเมือง จะเรียน ปวส.  เค้ารับสมัคร เด็กจบ ม.ปลาย แต่เรียน 2 ปี กับอีก 2 ซัมเมอร์ มีสองสาขา มีบริหารธุรกิจ บัญชี กับบริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ ลูกเลือกอย่างหลัง เด็กหญิงตอบอย่างคนมีข้อมูล จนพ่อต้องถามกลับว่า ไปรู้จักโรงเรียนนี้แต่เมื่อไร เพราะอยู่กรุงเทพแต่เล็กแต่น้อย เธอหันมาถามพ่อ "พ่ออยากรู้จริงๆรึเปล่า 555 ลูกฟังมาจากคลื่นวิทยุ ชุมชน เห็นมันโฆษณาทุกวันเลย เอาที่นี่เลยละกัน มุมมองโลกของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ต้องมหาวิทยาลัยก็ได้ ความรู้มันอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ที่มหาวิทยาลัย ดูคนงานเลี้ยงไก่ คัดไข่เร็วกว่าเธอ เรียงไข่ต่อแผงเร็วกว่า นี่ล่ะ อาจารย์ ที่ฟาร์มแห่งนี้ เธอเรียกคนจบ ป.6 ม.3 ว่าอาจารย์อยู่หลายคน 





พ่อไม่มีคำแนะนำอะไร และพาไปสมัครในที่สุด วันเปิดเทอมวันแรก กับชุดที่ต้องใส่สูททับลงไป เมื่อยืนกลางแดดร้อน หน้าเสาธง ร้อนตับจะแตกตาย ผอ. ขึ้นมากล่าวต้อนรับเปิดเทอม รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลเรื่อยลงไปจากแผ่นหลัง ถ้าไม่ติดขอบกระโปรงที่ถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัด มันคงไหลลงไปถึงง่ามก้น รองเท้าส้นสูง ก็สร้างความทรมานไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เด็กในชั้นปีอื่นๆ ที่ได้เรียนร่วมกันมาแล้วในปีก่อนๆ พูดคุยกันเป็นคู่ๆ ส่วนในแถวเรา ทุกคนน่าจะไม่ได้รู้จักกัน เราจึงได้แต่ฟัง ผอ. พูดจนจบและแยกย้ายไปตามห้องเรียน




มันเป็นความแปลกใหม่ในโลกของการศึกษา สมัยนั้น มันเป็นช่วงของคอมพิวตอร์ในยุคแรกๆ ที่แผ่นดิส ยังเป็นแผ่นอ่อนอยู่ แผ่นใหญ่่ๆ และเธอก็เพิ่งจะรู้จักมันเป็นครั้งแรก หมายถึงที่ต้องมาจับต้องและใช้งาน ส่วนเคยเห็นน่ะเคยเห็นมาแล้ว แต่ช่วงม.ปลายสมัยนั้นยังไม่เปิดเรียนคอมพิวเตอร์กันเลย นั่งมองแป้นพิมพ์แล้วคิดในใจว่า เราจะเรียนได้หรือเปล่านี่ ครูที่สอน ก็เริ่มสอนตั้งแต่เปิดสวิตท์หลังเครื่อง กดปุ่ม power on-off จนถึงการปิดเลย แต่เท่าที่รู้ๆคือทุกๆคนในห้อง(จบ ม.6เหมือนกันหมด )ไม่มีใครเคยใช้มาก่อนเหมือนกัน ในการเรียน ที่นี่ เด็ก ปวส.บริหารต้องเรียนพิมพ์ดีดด้วยในห้องพิมพ์ดีด ครั้งที่เราเดินเรียนในวันแรกไปถึงห้องพิมพ์ดีด รุ่นน้องยังเรียนไม่เสร็จ ต้องไปยืนรอ แม่เจ้า!! จะเทพไปไหน ทุกคนในห้องรัวมือไปบนแป้นพิมพ์ มือมองเอกสารด้านข้าง ว่องไว มากๆ เหมือนทุกคนกำลังแข่งขันกัน ในบรรยากาศ ตรงนั้น มีแต่เสียงก้านพิมพ์ที่กระทบกระดาษบนแกน นี่มันโลกใหม่จริงๆนะ แต่หญิงสาวเธอคือคนที่มาจากโลกใบเดิม โลกที่เธอคุ้นเคย เหมือนมาจากดาวอีกดวงหนึ่ง เมื่อเธอมานั่งหน้าแป้นพิมพ์ ครูให้ท่อง "ฟ ห ก ด    ่  า ส ว "  พิมพ์ชุดคำนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งหน้ากระดาษ ลีลาแตกต่าง เพราะต้องคอยแอบมองบนกระดาษ เพราะมันคอยจะผิดอยู่เรื่อย เธอรู้สึกขำตัวเอง นึกขำๆ นี่เราไปอยู่โลกไหนมาเนี่ย เราถึงเพิ่งมารู้จักกับสิ่งนี้ ครูมัธยมยังให้เขียนรายงานเป็นหน้าๆอยู่เลย ที่นี่เค้าสอนพิมพ์ดีด ตั้งแต่ ปวช.ปี1 หมายถึง ม.4 เด็กที่อายุเท่าเราที่นี่ พิมพ์ดีดเป็นแล้ว อัยย่ะ !! ตอนเราจบ ม.3 เรามองข้ามสายอาชีพไปเลย ที่บ้านบอกว่ามันไม่ดี เพื่อนๆก็ต่อ ม.ปลายกัน คนไหนไปเรียนพานิชย์ เราก็ไม่ได้ไปถามไถ่อะไรเลย ก็เหมือนอยู่คนละซีกกันเลยนะ คิดแล้ว เสียดายเวลา




อ่านต่อตอนหน้านะคะ

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่3)

"จะมีลูกสักกี่คนที่ไม่รู้ว่า แม่ตัวเองชื่อนามสกุลอะไร ที่เธอเขียนมานี่ไม่ตรงกับเอกสาร ในใบสูติบัตรที่ทางโรงเรียนมีอยู่นะ เอ้า เธอเอาแผ่นนี้ไปกรอกใหม่ แม่เธอเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ..โธ่ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่จะเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ก็คนไม่มีแม่ เด็กหญิงที่กำลังจะจบ การศึกษาในระดับประถมพึมพำในใจ 

ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรออก เสียงครูก็ดังแหวกอากาศขึ้นมา นี่เธอ วันนี้เธอจะกรอกส่งเลยไหม??  หรือจะเอามาส่งครูพรุ่งนี้??  อ๋อ วันนี้เลยค่ะ คุณครู หนูจะรีบขอ ใบ รบ.ไปสมัครเข้าเรียน ม.1 หนูขอใบเกิดมาลอกหน่อยได้มั๊ยคะ?? ครูยื่นแฟ้มบวมๆ มาวางข้างหน้า พร้อมกับพูดอย่างเบื่อหน่าย เธอจะไปทำอะไรรุ่งเรืองเห๊อะ!! ไม่มีความพร้อมอะไรเลย สำเนาบัตรประชาชนแม่เธอก็ไม่มี ชื่อแม่เธอก็เขียนผิด นี่ๆ เห็นมั้ย ชื่อแม่เธอน่ะชื่อนี้ เธอเขียนผิดเป็นคนละคำคนละชื่อเลย นามสกุลแม่กับพ่อเธอก็ใช้คนละนามสกุลกัน เธอไม่รู้หรือไง??  

ค่ะ คุณครู หนูไม่รู้เลย หนูเพิ่งรู้วันนี้แหละว่า พ่อกับแม่หนูใช้คนละนามสกุล และก็เพิ่งมารู้ด้วยว่า แม่หนูชื่อนี้ ใบเกิดใบนี้คงเป็นสำเนา ตัวจริงคงอยู่กับพ่อที่ต่างจังหวัด หนูก็กรอกชื่อกับนามสกุล ผิดอย่างนี้มาตั้งแต่หนูเขียนหนังสือได้ เพราะหนูไม่ได้อยู่กับแม่ และที่บ้านก็ไม่มีบัตรประชาชนแม่ด้วย 

เด็กหญิงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ โรงเรียนใกล้เลิกแล้ว เธอยังไม่ได้ขึ้นไปบนห้องเรียน เพื่อเก็บกระเป๋านักเรียนเลย เธอต้องมานั่งกรอกเอกสารใหม่ ในเอกสารอีกใบ สมัยก่อน มีแต่ยางลบแปดเหลี่ยมสำหรับลบปากกา ครูเลยให้มานั่งกรอกทั้งใบเพราะคงกลัวมันจะเลอะเทอะ แม่นะแม่ แม่อีกแล้วนะ ที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวาย พ่อก็อีกคน แค่ชื่อแม่ก็ไม่เคยบอก รู้แต่ชื่อเล่น ของแม่ โธ่เอ้ย แล้วครูยังจะว่าอีก ว่าแต่แรกก็น่าจะเขียนมาเลยว่า หย่าร้าง จะมากรอกทำไมว่าสมรส นามสกุลเดียวกัน ที่อยู่เดียวกัน วุ่นวาย!!! ....  ทุกอย่างๆๆๆๆๆๆ มันเริ่มต้นวุ่นวายมาตั้งแต่แรก คงตั้งแต่แม่ทิ้งพวกเราไป หนูจะเกลียดแม่ และหนูก็จะไม่กลับมาโรงเรียนนี้อีกด้วย และเราจะเริ่มต้นกันใหม่ จะไม่มาพูดเรื่องแม่กันอีก กำลังจะจบแล้ว

ชีวิตใหม่เริ่มต้นในโรงเรียนมัธยม ความสนุกสนาน มีแต่สิ่งใหม่ เดินเรียนขึ้นอาคารโน้นลงอาคารนี้ โรงเรียนนี้ใหญ่โต มีนักเรียน ที่สอบผ่านเข้ามาเรียนในชั้น มัธยม 1 ตั้ง 500 คน เด็กหญิงคนเดิมในโรงเรียนใหม่ เธอจำได้แม่นยำ ว่า เธอกรอกลงตรงสถานภาพสมรสของพ่อแม่ว่า "แยกกันอยู่" แค่นั้น และจะไม่พูดถึงมันอีกที่นี่ เรียนให้สนุก เล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรม ห้องสมุดกว้างมาก มีห้องสมุดแบบโสตทัศนศึกษา เข้าไปนั่งดู VDO ฟังเพลงกันได้เลย เด็กหญิงรู้สึกภูมิใจที่เธอเป็น 1 ใน 500 คนที่สอบผ่านและได้มาเรียนที่นี่ พ่อและคนที่บ้าน ทุกคนพอใจ เธอไม่คิดอะไรต่อจากนี้อีกแล้ว เรียนๆๆ 

มีครูสมัยประถม คนหนึ่ง เคยสอนวิธีการอ่านหนังสือเรียนให้กับลูกศิษย์ในชั้นเรียน มันเป็นวิธีที่สุดยอดและเธอก็ใช้วิธีนั้นมาตลอดตั้งแต่ ป.3 คืออ่านบทเรียนล่วงหน้ามาก่อน ที่จะมีการสอน ถ้าทำการบ้านเสร็จ จัดตารางสอนแล้ว ก่อนจะหย่อนหนังสือลงกระเป๋า เธอก็จะอ่านหนังสือพวกนั้นเสียก่อน หนึ่งบท หลายๆคนในห้องก็ใช้วิธีนี้กัน เธอสังเกตุได้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ที่หลายคนรู้เนื้อหามาก่อน แต่สิ่งที่เธอมักทำเพิ่มจากที่ครูสั่งคือการ สรุปเป็นโน๊ตย่อ สำหรับบทนั้นๆ ลงในกระดาษสมุดหน้ากลาง แล้วนำมาพับเป็นสี่ตอน เขียนทั้งด้านหน้าด้านหลังได้ถึงแปดคอลัม มันเป็นไอเดียร์ที่ดีมากๆ และมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อนำมาใช้ในช่วงมัธยม เพราะต้องนั่งรถเมล์ไปเรียน ซึ่งอย่างน้อยก็ใช้ฆ่าเวลาในช่วงรถติดได้อย่างดีทีเดียว ในส่วนเนื้อหาที่สรุปจะเขียนด้วยปากกาน้ำเงิน ส่วนพวกสูตร คำศัพท์ และส่วนที่สำคัญจะถูกเขียนด้วยปากกาแดง ถ้ามีเวลามาก คำศัพ์ในวิชาภาษาอังกฤษจะถูกแปลมาแล้ว รวมทั้งคำตอบที่อยู่ท้ายบทก็จะถูกทำไว้แล้วด้วยเช่นกันในกระดาษโน๊ตนี้ แต่ในหนังสือเรียนมักไม่เขียนอะไรลงไป เพราะมันเป็นหนังสือที่ยืมเรียน ต้องให้รุ่นน้องได้ใช้ต่อ 



ถึงแม้บางอย่างที่เธอรู้คำตอบในสิ่งที่ครูถามเธอก็มักจะไม่เลือกที่จะเป็นคนยกมือขึ้นตอบ เพื่อให้คนที่เค้าเป็นเจ้าประจำอยู่แล้วได้ตอบ เพราะเป็นสิ่งที่เค้าชอบ นอกเสียจากว่าครูจะชี้นิ้วเรียกเธอให้ตอบ เพราะเธอจะเป็นพวกนั่งแถวหลังและอยู่ริมหน้าต่าง เป็นโซนเดียวกับพวกเรียนหางแถว ที่เป็นกลุ่มสาระไม่เน้น เน้นความบันเทิง ซึ่งเธอมักจะเป็นคนหยิบยื่น คำตอบให้เพื่อนกลุ่มนี้เสมอ ถ้าครูยิงคำถามยากมาให้ อาจเป็นเพราะอยากให้เพื่อนๆรัก เลยไม่อยากให้ใครสักคนรู้สึกหมั่นไส้ จึงวางตัวอยู่กลางๆ ไม่อยากเด่นอยากดัง ซึ่งลึกๆก็คือ ไม่อยากให้ใครมาขุดปมที่อยู่ลึกๆเรื่องเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง เด็กบ้านแตก มาพูดกันอีกแบ้วกระมัง

ช่วง ม.ต้น ไม่ค่อยมีอะไรกดดันเท่ากับช่วง ม.ปลาย เพราะพอขึ้นเรียนชั้น ม.4 จะถูกแยกให้เรียนไปตามสาขาต่างๆชัดเจนมากขึ้นแล้ว หลายๆคนทำกิจกรรมน้อยลง แล้วหันไปเคร่งเครียดกับตำหรับตำรามากขึ้น บางทีมันมากจนดู เกินไป มากจนกลายเป็นเหมือนคนเห็นแก่ตัว หญิงสาวรู้สึกอย่างนั้น ก็จะไม่ให้รู้สึกได้อย่างไร เพื่อนบางคน ทิ้งเวรทำความสะอาดตอนเย็นด้วยเหตุผลว่าต้องไปติวเตรียมสอบ เพื่อนหลายๆคนในห้องไม่ได้ไปเรียนกวดวิชา แต่อยากได้แนวเนื้อหาจากสถาบันกวดวิชาจากกลุ่มเด็กเรียน(เยอะ)บ้าง พวกนี้ก็จะแสดงอาการ "หวง" และบ่ายเบี่ยงต่างๆนาๆ เพราะเค้ามองว่า มันคือสิทธิที่อยู่เหนือคำว่ามิตรภาพ ซึ่งหญิงสาวไม่ได้ใส่ใจ เรื่องการเรียนมากจนละทิ้งความสุขที่ควรจะมี เพราะอะไรน่ะหรือ ความสุขมันเป็นสิ่งหายาก เธอต้องการมีเพื่อน ต้องการหัวเราะ ได้เล่นบาสกับเพื่อนๆ กลางวันแดดเปรี้ยงๆ ก็สุข การอยู่ในชมรมอาสา ก็สุข การจับกลุ่มกันร้องเพลงกับเพื่อนๆในห้องก็สุข การเรียน ก็เป็นความสุข การแว๊บไปนั่งเรียนกับเพื่อนห้องอื่นในชั่วโมงที่เป็นคาบว่างของตัวเองก็เป็นความสุข จึงไม่แปลกที่ใครๆในรุ่นจะรู้จักเธอมากมาย และเรียกเสียงฮาจากใครต่อใครได้เสมอ มันไม่ควรจะต้องมาแข่งขันอะไรกันในห้องเรียนมากมาย  เธอยอมจะทำเรื่องตลกๆให้เพื่อนได้ขำเสียมากกว่า เมื่ออยู่ในชั้นเรียน ช่วง ม.ปลาย ซึ่งมันทำให้เพื่อนๆทุกกลุ่มยอมรับเธอ เป็นมิตรต่อกันมากกว่าที่จะทำตัวฉลาด มีหลักการณ์อวดรู้ให้เพื่อนๆ หมั่นไส้ แต่มักจะทำตัวเป็นเสือซุ่ม เมื่อกลับถึงบ้าน ซึ่งเป็นเฉพาะช่วงก่อนสอบ แค่หนึ่งหรือสองสัปดาห์ 

มันเป็นกฏหรือเปล่า?? หรือมันเป็นโครงสร้างของเยาวชนหรือเปล่า?? ที่เด็กที่เรียนสายสามัญจะต้องสอบเอนทรานซ์ เข้าสถาบันอุดมศึกษา ให้ได้ ตอนนี้เด็กสาวในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเองก็ถูกกดดัน เสียงคนที่บ้าน คุณปู่คุณอา พูดแต่ว่า คนข้างบ้านโชคดี เค้าติดวิศวะ ลูกบ้านนั้นปีที่แล้วเค้าติดนิเทศ ลูกคนโน้นไปเรียนหมอ ลูกคนนี้ไปเรียนโน่น เรียนนี่ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว เพื่อนหลายๆคนพ่อแม่เค้าให้ไปเรียนกวดวิชากันทุกเย็นหลังเลิกเรียน และวันเสาร์อาทิตย์เต็มวัน เด็กหญิงคนนี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครเลยที่รู้ว่า เธอเดินมาผิดทาง เพราะตอนจบ ม.ต้น เธอเลือกเรียนตามเพื่อน ในสายการเรียนวิทย์-คณิตย์ ทำให้ต้องทั้งเสียเงินและเสียเวลา ติว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อยู่ที่ตึกที่มีรูป ไอสไตน์ ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ เสียสองปี แต่ในโค้งสุดท้ายตัดสินใจ จะสอบเอนทรานซ์ และเลือกสอบในคณะที่อยู่ในสาย คณิต-อังกฤษ แทน และเลวร้ายที่สุด เธอไม่ติด!!  



เจ้ากรรม ทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ มันย่ำแย่ขนาดนั้น เค้าจะรู้บ้างมั้ยว่าแค่การที่เพื่อนๆ โทรมาแล้วบอกว่าคนนั้นติดที่โน่นที่นี่ และคำตอบที่ต้องบอกเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "ชั้นเอ็นฯไม่ติดว่ะ". มันก็ทำให้เด็กเสียกำลังใจไปมากพอแล้ว เด็กหญิงเก็บตัวอยู่ในห้องลำพัง อยู่เงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความผิดหวังไหลออกมา ไม่มีคำปลอบโยนหรือให้กำลังใจใดๆ จากผู้ปกครอง นอกจากเสียงห้วนๆที่บอกว่า ออกมากินข้าวได้แล้ว?? ซึ่งมีเพียงคำตอบจากในห้องขังนั้นตะโกนออกมาว่า. "ยังไม่หิว กินไปก่อนเลย" เธอไม่กล้าพอที่จะยกหูโทรศัพท์ ไปบอกพ่อ ที่อาจกำลังรอข่าวดีจากเธออยู่ ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างโหดร้าย มันกลับมาอีกแล้ว ความผิดหวัง เธอกำลังมองหาใครสักคนหนึ่งมารับผิดชอบความรู้สึกนี้..แม่..แต่ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ครั้งนี้เธอร้องหาแม่เบาๆ ในใจ "แม่..ถ้าแม่อยู่ แม่จะพูดอะไรบ้าง แม่จะปลอบใจหนูมั๊ย แม่อาจจะบอกว่าไม่เป็นไร หนูเสียใจ แม่กอดหนูหน่อย หนูไม่ไหวเลย!!!"  ทำไมแม่ไม่มาอยู่ข้างๆเวลานี้..เวลานี้ เธอไม่รู้สึกเกลียดใครเท่าเกลียดตัวเองเลย 


รออ่านตอนหน้าค่ะ




วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 1)


แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ(ตอนที่ 1)

เด็กหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป เหมือนเด็กคนอื่นๆในโรงเรียน เธอเริ่มเรียนในชั้นประถม เธอชอบไปโรงเรียน มีเพื่อนมากมาย เธอรักคุณครู เธอชอบการเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ห้องสมุด บ่อปลาที่โรงเรียน สนามเด็กเล่น ทุกๆอย่าง ในโรงเรียน ที่นี่..คือบ้านอีกหลังหนึ่งที่ชื่อว่า "โรงเรียน"

วันหนึ่งเด็กน้อยถือกระดาษสีน้ำตาล เธออ่านหนังสือไม่ออกหรอก แต่คุณครูพูดย้ำแล้วย้ำอีก ว่าต้องนำกระดาษใบนั้นไปให้ผู้ปกครอง ที่บ้าน กระดาษแผ่นนั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน และท่อนหนึ่งถูกฝากส่งจากที่บ้านเพื่อกลับมามอบให้กับคุณครูในวันรุ่งขึ้น

สองสัปดาห์ผ่านไป(โดยประมาณ) เด็กหญิงถึงรู้ว่า ในกระดาษสีน้ำตาลแผ่นนั้น เป็นจดหมายเรียนเชิญ "แม่" ให้มาร่วมในกิจกรรมวันแม่ ของทางโรงเรียน เพราะวันนั้นเด็กหญิง มาโรงเรียนพร้อมกับผู้ปกครองที่บ้าน แต่ทว่า คนที่มาด้วยนั้น ไม่ได้เป็น "แม่" แต่เป็น "พ่อ" ที่อุตสาห์ เดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาร่วมกิกรรมในวันนั้นแทน

บรรยากาศในเช้าวันนั้น อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ีเสียงเพลงค่าน้ำนม เพลงใครหนอ สลับกับเสียงประกาศของคุณครู ดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหญิง ที่ในใจเธอไร้ความสุขที่สุด ในบรรยากาศอย่างนี้

พิธีการดำเนินมาถึงตอนที่ คุณครูให้เด็กๆมอบดอกมะลิ ให้แม่ และกราบลงที่ตัก ของแม่ เด็กน้อย บรรจงหยิบดอกมะวางลงบนมือพ่อ และกราบอย่างที่เพื่อนๆในแถวเดียวกันทำ เธอกอดพ่อของเธอ และร้องไห้ เหมือนกับเพื่อนๆของเธอ แต่ในความคิดของเด็กน้อยเวลานี้ ไม่ได้มีความสุข เธอมีคำถามเกิดขึ้นมากมายในใจ มากมาย ทำไมเธอไม่มีแม่มาในวันนี้?? ทำไมเธอถึงไม่มีแม่?? ทำไมแม่ถึงไม่อยู่กับเรา??

ปีนั้นเป็นปีเดียวที่เธอมาร่วมกิจกรรมในวันแม่ของทางโรงเรียน และในปีต่อๆมา เธอไม่มาร่วมกิจกรรมในวันแม่อีกเลย เธอเกลียดวันแม่ เกลียดแม่ และไม่อยากสนใจอะไรอีก เธอตั้งใจเรียนหนังสือ และสนุกสนานกับเพื่อน ไม่เหลวไหล เพราะเธอมีพ่อที่ใส่ใจ และรักเธอมากที่สุดในโลก เธอรู้ในข้อนี้ดี และเธออยากให้พ่อเธอภูมิใจ จน ปีการศึกษาปีสุดท้าย "วันแม่" กำลังจะมาถึงอีกแล้ว

ครูประจำชั้น ป.6 ของเธอ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทย เข้ามาบอกให้นักเรียนทุกๆคนในห้อง เขียนเรียงความ เพื่อเก็บคะแนน และส่งประกวดในกิจกรรมวันแม่ของโรงเรียน ความยาว 2 หน้า. กระดาษฟุลสแก๊ป เด็กหญิงกลับบ้านพร้อมการบ้านหลายๆอย่างในวันนั้น รวมทั้งเรียงความเรื่อง "แม่ของฉัน"

เพราะเป็นวันหยุด ไม่ต้องรีบเร่งทำการบ้านนัก การบ้านทุกอย่างทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ยกเว้น เรียงความ เด็กหญิงเลือกทำมันท้ายที่สุดในเวลาก่อนนอนในคืนวันอาทิตย์ และเก็บมันไว้ในกระเป๋านักเรียน เพื่อส่งในวันจันทร์

ไม่มีอะไรที่น่าใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเรียงความ และเรื่องวันแม่ เพราะปีนี้ คงต้องลาป่วยเหมือนปีก่อนๆ เพราะยังไงๆ เธอก็ไม่อยากมา เธอไม่อยากฟังเพลงค่าน้ำนม ไม่อยากเห็นแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ และ เธอไม่อยากมาโรงเรียนกับ"พ่อ"

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ครูประจำชั้น เรียกเด็กหญิงไปพบ เพื่อบอกเธอว่า เรียงความของเธอได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดเป็นรางวัลชนะเลิศในระดับชั้น ป.6 เด็กหญิง ดีใจที่สุดที่เธอได้รับรางวัลที่ 1 แต่คำพูดของครูที่พูดต่อจากนั้น ทำให้เธอแทบจะอยากย้อนเวลากลับไป และไม่เขียนเรียงความฉบับนั้น ครูบอกให้พาแม่มาร่วมกิจกรรมวันแม่ เพื่อรับรางวัลเป็นแม่ตัวอย่าง ในปีนี้ด้วย เหมือนลำไส้บิดตัวรุนแรง เด็กหญิงตอบครูด้วยสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่แม่จะมางานนี้ที่โรงเรียน เธอบอกครูว่า หนูขอสละสิทธิให้กับอันดับที่สองแทน ครูป้อนคำถามมาทันทีทันใด ว่า เพราะอะไร?? เด็กหญิงตอบครู พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาหลังจากที่พยายามต่อสู้ที่จะฝืนเก็บมันเอาไว้ "หนูไม่มีแม่ค่ะ คุณครู แม่เลิกกับพ่อไปตั้งแต่หนูยังเล็กๆ หนูไม่มีแม่"

ครูสองหรือสามคนตรงนั้น มองหน้ากันไปมา ท้ายที่สุดครูประจำชั้นถามขึ้นว่า แล้วเรื่องราวพวกนี้ เธอเขียน ขึ้นมาได้อย่างไร เด็กหญิงก้มหน้า และตอบว่า" แม่ในเรียงความ เป็นแม่คนที่หนูอยากมี เป็นแม่ในฝันของหนู ค่ะ หนูอยากมีแม่แบบนี้ หนูก็เลยเขียน มาส่งคุณครู"

ครูประจำชั้น เข้ามากอดเด็กน้อย ครูสองสามคนตรงนั้น น้ำตาไหล และพูดอะไรกันบางอย่าง แต่เด็กหญิงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ตาเธอพล่าด้วยน้ำตาเต็มม่านตาคู่นั้น และในใจเธอร่ำไห้ดังมากกว่าเสียงร้องที่เธอข่มมันไว้...

**ขออนุญาตนำมาลงอีกในครั้งหน้านะคะ ติดตามอ่านให้จบ อาจจะได้อะไรจากเรื่องนี้มากๆ

ตั้งโปรแกรมลูกเสียใหม่




หลายๆทฤษฎี บอกว่าเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกได้โดยการตั้งโปรแกรมใหม่ ปลูกฝังสิ่งที่ต้องการให้ลูกเป็นลงไป คล้ายๆการใส่ซอร์ฟแวร์ลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ 

ง่ายๆ เด็กดื้อๆเด็กเกเร อย่าได้ไปตอกย้ำว่าเค้า ดื้อ เกเร ไม่น่ารัก การพูดกับเค้าเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการฝังโปรแกรมลบ เค้าจะค่อยๆเชื่อว่าเค้าเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น 

ครูในชั้นเรียนโรงเรียนหนึ่ง(ที่รู้จักกัน) ได้ทดลองเอาการฝังโปรแกรมนี้ ไปใช้กับเด็กนักเรียนที่ ไม่สนใจเรียน อืดอาด เชื่องช้า โดยการเปลี่ยนจากการต่อว่า ทำโทษ ตอกย้ำเด็กทุกๆวัน เป็นการสร้างความเชื่อให้นักเรียนของเธอ ว่า วันหนึ่ง นักเรียนคนนี้จะต้อง ทำงานได้เร็วขึ้น และปลุกพลังความเก่งที่หลับอยู่นั้นให้ตื่นขึ้นมา 

ทุกๆวัน แม้ว่านักเรียนคนนี้จะดีขึ้นมาเพียงแค่เล็กน้อย ครูก็จะบอกว่า โอ้โฮ เห็นมั๊ยว่าหนูทำได้ หนูรู้มั้ยว่าหนูเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่หนูไม่เอาออกมาใช้ ลองกลับไปเขียนหน้านี้ให้เสร็จ ครูเชื่อว่าหนูทำได้ ครูพูดและทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กชายคนเฉื่อยชาคนนั้นกลับไปหลับอยู่ในร่างเด็กชายคนใหม่ที่กระตือรือร้น เค้าค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และดีขึ้นๆอย่างน่าอัศจรรย์ 

และนี่เองที่เปลี่ยนแปลงอัจฉริยะระดับโลกอย่างไอสไตน์มาแล้ว....ความเชื่อ...ถ้าลูกยังสร้างความเชื่อนั้นไม่ได้ พ่อแม่และครูช่วยเค้าได้

งานของแม่





แม่ทุกคน ทำงานที่หนักและเหนื่อย มากๆ ยิ่งถ้าแม่คนไหนได้เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง แบบเป็นคุณแม่เต็มเวลา จะรู้ซึ้งดี

งานของแม่ สำคัญเหมือนงานหมอ เรารับผิดชอบต่อ ชีวิตและลมหายใจของลูกน้อย ติดตามลูกตลอดในยามเจ็บไข้ เป็นเหมือนนางพยาบาลเช็ดตัว ป้อนหยูกยา วัดไข้ ขับถ่าย ไอจามคอยตามล้างตามเช็ด เก็บกวาด ดูแลที่หลับที่นอน อาหารการกินของลูก ทุกเวลา ก็ไม่แพ้แม่บ้าน แม่ครัว เหมือนเวรยามคอยระแวดระวังภัยให้กับลูก ครูคนแรกก็แม่นี่เอง ที่ฝึกสอนพูดจา หัดเดิน จับมือลูกเขียนหนังสือ หัดลูกนับเลข ไหนจะขับรถรับส่งไปโรงเรียน รับเรื่องราวร้องทุกข์จากลูกทุกวันเหมือนร้อยเวร และเหมือนศาลที่ต้องให้ความยุติธรรมกับลูกด้วย วันดีคืนดีก็ร้องเรียกค่าขนม ก็ไม่พ้นนายธนาคารอย่างแม่ที่ต้องให้เบิกถอน 

งานของแม่ทุกๆคนมีคุณค่า และแม่ทุกๆท่านก็ทำให้โลกนี้งดงาม 

ถ้าเราทำงานใดงานหนึ่งอยู่ แล้วมันหนักมันเหนื่อย ความรับผิดชอบมากมาย ไม่มีเวลาพักผ่อน รายละเอียดมาก เจ้านายจู้จี้ และไม่มีค่าตอบแทน อยากถามว่า เราจะทนทำงานนั้นอยู่หรือไม่ ??

แต่งานในความเป็นแม่ เป็นอย่งที่กล่าวมาทั้งหมด แต่แม่ทุกคนยืนหยัดที่จะทำ ดังนั้น แม่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่า

ถ้าจะมีใครสักคนตำหนิคนเป็นแม่ ว่าทำหน้าที่ทุกวันนี้บกพร่องและไม่ดีพอ อย่าได้เก็บคำพูดนั้นมาเป็นอารมณ์ งานของแม่นั้น ทำตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครที่จะรักลูกของเรา เท่าคนที่เป็นแม่ 

เป็นกำลังใจให้ผู้เป็นแม่ทุกท่านค่ะ




ฝากไปถึงครูอนุบาล


มีเรื่องร้องเรียนมากมาย เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และการใช้ความรุนแรง(แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่สมควร )

เด็กๆเลือกที่จะไม่ฟ้องพ่อแม่นะ เพราะเค้าน่ะกลัวคุณครูอยู่แล้ว ในเมื่อเรายกให้ครูเปรียบเป็นแม่คนที่สองแล้ว เราไม่ได้หวังแค่วิชาความรู้ เท่านั้น อยากให้ครูให้ความรัก ความอาทรณ์ ความอ่อนโยน การปฏิบัติ ต่อลูกศิษย์ที่ครูพึงจะกระทำด้วยสำนึก และจิตวิญญาณแห่งการเป็นครู 

อยากให้ครูได้รู้ ว่าคนเป็นแม่ เค้าร้อนใจน่ะมันไม่ใช่เรื่องแปลก เค้าก็ทำหน้าที่ของการเป็นแม่ ไม่มีใครเรียกร้องให้ครูทำอะไรมากไปกว่า หน้าที่ของการเป็นครู สิ่งที่ครูบางคนทำ ครูบางคนเป็น บางอย่างไม่มีคนเห็น แต่ครูเองต้องรู้อยู่แก่ใจ ว่าวันนี้ครูเป็นอย่างไรกัน



ข้อมูล ของเด็กนักเรียนอนุบาลในกรุงเทพ ที่ต่างจากนักเรียนต่างจังหวัด ที่พบมากที่สุดคือ

- มาโรงเรียนสายบ่อยมากๆ ไม่เคยได้เคารพธงชาติก่อนเข้าห้องเรียน 

ถ้ามีปัญหาเรื่องการเดินทาง ตื่นให้เช้าขึ้น การไปโรงเรียนก่อนเข้าแถว สัก 15-20 นาที เราจะเห็นภาพเด็กๆวิ่งเล่นกันแถวสนาม ฟังเค้ายืนร้องเพลงชาติร่วมกับเพื่อนๆ 

ค่อนข้างเชื่อว่าการมาโรงเรียนสาย เด็กรู้สึกหดหู่ กับคำถามของครู ของเพื่อน ถ้าโดนเพื่อนล้อ ไม่อยากไปเรียนก็มีนะคะ สำหรับเด็กๆ 

ไม่อยากให้พ่อแม่ให้เหตุผลลูกว่า ไม่เป็นไร บ้านเราอยู่ไกล คนอื่นเค้าก็มาสาย สิ่งเหล่านี้จะบ่มเพาะให้ลูกขาด "วินัย"

วินัย คือ สิ่งที่ต้องทำ ในเวลาที่ต้องทำ แม้ไม่อยากทำก็ตาม 

พ่อแม่ต้องมีก่อน ถ้า ตี 4 ครึ่งคือวินัยของพ่อแม่ ก็ต้องตื่นนะ วินัยของลูก ตี 5 ครึ่ง ก็ต้องทำ การมาสาย ขาดวินัย

สำคัญ!! มากเช่นกัน



แม่ขา..หนูโตแล้ว




แม่เรียกลูกๆมาตรวจเล็บในวันเสาร์ แล้วก็นั่งตัดๆ ไป 
-ลูกชายถามว่า ทำไมเล็บต้องยาวออกมาตลอดเลย 
แม่นั่งยิ้ม เล็บก็เหมือนผม นั่นแหละ ยาวออกมาเรื่อยๆต้องคอยตัดให้สั้น ไม่งั้นเชื้อโรคจะไปซ่อนอยู่ พอหยิบอะไรเข้าปาก มันจะเข้าปากไปด้วยทำให้ป่วย จบ
-ลูุกสาวถามว่า ทำไมแม่ยังตัดเล็บให้หนูอีกคะ หนูตัดเล็บเองได้แล้ว หนูโตแล้วนะคะคุณแม่
แม่นั่งยิ้ม "แม่ยังตัดให้หนู เพราะว่าแม่ยังอยู่กับหนู และดีแล้วที่หนูตัดเล็บของหนูเองได้ วันนึงที่แม่ไม่อยู่หนูจะได้ทำเอง คนเป็นแม่ทุกคน ยังอยากทำโน่นทำนี่ให้ลูกอยู่เสมอไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหนก็ตาม

วันนึงหนูมีลูก หนูจะเป็นอย่างแม่เหมือนกัน ลูกสาวตอบว่า ไม่นะ หนูจะให้เค้าตัดเล็บเอง (แม่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ แต่ในใจคิดว่า เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ แล้วแม่ยังอยู่ แม่จะคอยดูเอง )

คุณตาทุกวันนี้ยังชอบคดข้าว รินน้ำ เตรียมไว้ให้แม่อยู่เลย บางวันยังเดินไปตลาดซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาไว้ให้แม่ด้วย บางครั้งแค่พูดว่าปวดหัว ก็เดินหายไปพักนึงกลับมาพร้อมยาพาราสองเม็ดกับน้ำหนึ่งแก้ว บางครั้งไม่พูดอะไร แต่ไอแค่กๆ ตาก็กลับมาพร้อม ยาแก้ไอตาตะขาบ 5 ตัว กับชวนป๋วยปี่แป่กอ ตราลูกกตัญญู(พ่อน่าจะสื่ออะไรสักอย่าง 555). 

แม่ได้มรดกนี้มาจากคุณตา แม่ก็ต้องส่งต่อให้ลูก และแม่ไม่เชื่อว่า หลานๆแม่จะไม่ได้

คนเป็นพ่อแม่ เค้าเป็นกันตลอดชีวิต คนยังไม่เป็นเค้าไม่รู้หรอก วันนึงลูกจะเข้าใจ

จดหมายถึงลูก



บางทีเราอยู่กับลูกทุกวัน แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนไกลกัน บางครั้ง เราคิดว่าเข้าใจลูก บางครั้งเราคิดว่าลูกไม่เข้าใจเรา 

แม่บางท่านเป็นแม่บ้าน แม่บางท่านทำงานออฟฟิต ลูกอยู่บ้านกับพี่เลี้ยง ย่ายาย หรือไปเรียนหนังสือแล้วก็ตาม 

วันนี้อยากให้คุณลองไปหากระดาษ มาสักแผ่น เขียนความรู้สึกถึงลูกคุณลงไป คำว่ารักของคุณ คำขอโทษของคุณ คำชมเชยของคุณ คำขอบคุณของคุณ บอกมันออกมาเป็นตัวหนังสือ 

ลองเขียนเล่าถึงนาทีแรกที่คุณรู้จักกับเขา นาทีแรกที่คุณเห็นหน้าเค้า ความรู้สึกต่างๆที่คุณมีต่อลูก อะไรที่คุณอยากให้เค้ารู้ เขียนลงไป ภาพแรกที่คุณมี(อาจเป็นภาพจากมอนิเตอร์เมื่อครั้งไปอัลตร้าซาวน์ตอนท้องได้ 4 เดือน อะไรก็ได้ ที่คุณอยากเขียน อยากใส่ลงไป

หาซองจดหมาย มาจ่าหน้าซองถึงลูกคุณ ด.ช.  ด.ญ. อะไร ส่งไปที่บ้านคุณนั่นแหละ 

ที่บ้านคุณมีกล่องรับจดหมายกันหรือยังล่ะ ถ้ายังก็ไปหาซื้อ ที่ไปรษณีย์ก็มี home pro ก้อมีนะ 

เด็กๆเค้าตื่นเต้นมาก กับจดหมายฉบับแรกของพ่อแม่ แม้คุณจะต้องเป็นคนอ่านก็ตาม จำได้ว่า เมื่อคราวที่เขียนถึงลูกฉบับแรก ตัวเองอ่านก็ร้องไห้ ลูกฟังก็ร้องไห้ แต่ตอนนี้ลูกอ่านเองได้แล้ว เค้าเก็บมันไว้ในกล่องอย่างดี และ เขียนจดหมายตอบแม่เป็นแล้วด้วย 

ชอบกิจกรรมนี้มาก มันเลยถูกบรรจุไว้ในกิจกรรมในโครงการโรงเรียนพ่อแม่ด้วย อบอุ่นและมีคุณค่า วันนึงเราอาจไม่ได้อยู่กับลูก แต่ถ้อยคำในจดหมายเหล่านี้จะยังอยู่ 

ไม่ค่อยเชื่อใจเทคโนโลยี เลยไม่แนะนำให้ส่งอีเมลล์ และคุณค่ามันต่างกัน 

เวลาลูกเลิกเรียนแล้ว เดินไปส่องในตู้จดหมาย แอบยิ้มในใจ ไม่ค่อยมีใครทำอย่างนี้กันแล้ว แต่เราอยากทำ ตอนเด็กๆ เราทำเพราะพ่อเราอยู่ต่างจังหวัด จดจำคุณค่านั้นได้ มันมีความหมายสำหรับชีวิตที่เติบโตขึ้นมานี้ ลองมาทำกับลูก เห็นเค้ามีความสุข แค่ลูกอ่านในใจ แต่เค้าอ่านจบแล้วมากอดแบ้วมาบอกหนูรักแม่นะ คุณก็จะน้ำตาไหลแล้ว อย่างเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเวลาทำ

อยากให้คุณลองทำ ความสุขที่เราควรจะได้มีร่วมกัน

ขอบคุณทุกๆคนนะคะ ที่เข้ามาติดตาม มีอะไรดีๆ จะเอามาแบ่งปันกันไป เลี้ยงลูกไปด้วยกันนะคะ ช่วยกันแนะนำ และตักเตือนภัยให้กัน 

แค่คำขอบคุณคำเล็กๆ ก็เป็นกำลังใจให้อยากทำสิ่งดีๆต่อไป 

ขอบคุณจากใจค่ะ







เหมือนเดิมทุกวัน

เช้าวันไปทำงาน วันไปโรงเรียน เป็นเวลารีบเร่ง ไหนจะอาหารเช้า ไหนจะอาบน้าแต่ตัวเจ้าตัวเล็กไปเรียน 

ภารกิจอันเป็นกิจวัตร เหมือนเดิมทุกวัน อย่าปล่อยให้วุ่นวายทุกวัน คอยวิ่งหาโน่นหานี่กันทุกเช้า ทำให้อารมณ์บูด พ่อแม่ก็บ่น ลูกก็เบื่อ 

ชุดนักเรียนของลูก ควรจัดให้ครบเซตของแต่ละวันไว้ แบบยกไม้แขวนมา ได้มาทั้งหมด ทุกรายการ ไม้แขวนหนีบกระโปรง/กางเกง สวมทับไว้ด้วยเสื้อนักเรียน มีเอี๊ยมก็เอามาแขวนทับไว้ด้วย ถ้าเด็กใส่เสื้อทับก็เอาตรงคอเสื้อแขวนไว้บนหัวไม้แขวนเสื้อ(เพราะต้องหยิบเป็นชิ้นแรก) พับถุงเท้าใส่ไว้เลยในกระเป๋ากระโปรง พับกางเกงในใส่ไว้ในกระเป๋าหน้าเอี๋ยมหรือกระเป๋าเสื้อ 

ทำแบบนี้ เด็กๆก็จะจัดการกับตัวเองได้ ไม่ต้องคอยร้องหาแม่อยู่ทุกเช้า ว่าไอ้โน่นไอ้นี่อยู่ไหน ทำไว้ให้ครบทั้งสัปดาห์ เรียงเสื้อผ้าไว้ตามวันที่ใส่ แบบ1-5 ให้เป็นระเบียบ พอทำไปสักพัก ลูกก็จัดเตรียมไว้แบบนี้ได้เอง ถึงวันเสาร์หรืออาทิตย์ เค้าก็จะมานั่งพับถุงเท้าไล่ใส่ไปตามกางเกง กระโปรง พับกางเกงในกระเป๋าเสื้อ แขวนเสื้อทับบนหัวไม้แขวน เรียงวันไว้ของเค้าได้เอง เพราะทำทุกวัน ใส่ทุกวัน เกิดเป็นวินัย มีระเบียบ เช้าๆก็ไม่ต้องมาบ่นเหมือนหมีกินผึ้ง ให้ทั้งลูกทั้งแม่หน้างอกัน 

ไม่ต้องสาย ไปเรียนไปทำงานกันอย่างมีความสุข ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่ไปทำงานเช้ากว่า ออกก่อนลูกตื่น หรือไปไหนๆ ปู่ย่าตายาย หรือใครๆ ก็ดูแลต่อได้ ไม่ต้องมาสาละวนหาว่าอะไรเก็บที่ไหน ง่าย

Credit ภาพ โรงเรียนอนุบาลเชาวน์ดี

กตัญญู

กตัญญู 
ความจริง คุณธรรม ที่ควรปลูกฝังในเด็ก แค่ความกตัญญูก็เพียงพอแล้ว เพราะความกตัญญู เป็นประตูสู่คุณธรรมข้ออื่นๆ ลองได้ตระหนักถึงบุญคุณของพ่อแม่แล้ว จะสำนึกดี ปฏิบัติดี เพราะคนที่รู้บุญคุณคน ย่อมเกรงกลัวที่จะกระทำในสิ่งผิด ด้วยไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเสียใจ นึกย้อนดูตัวเราเมื่อยามเด็ก เพื่อนจะชักชวนให้โดดเรียนยังไม่กล้า กลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ 

เวลาสอนเรื่องความกตัญญู ไม่ต้องดูอื่นไกล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานี้แหละ ต้นแบบแห่งความกตัญญูเลยทีเดียว ทรงเป็นที่ยกย่องเชิดชูกันทั่วทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศ สังเกตดูได้ คนไทยที่มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คนเหล่านี้จะมีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน  ทำแต่คุณงามความดี โดยพระองค์ไม่ได้ทรงต้องบอก ให้คนเหล่านั้นต้องเป็นคนเช่นไร อีกประการหนึ่งคือตัวเรา พ่อแม่เอง ก้อเป็นตัวอย่างที่ลูกพึงจะเอาเป็นแบบอย่าง หากตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม ยากมากที่ลูกไม้จะไปหล่นไกลต้น






การแบ่งปัน


ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่โรงเรียน เด็กๆควรเรียนรู้ เรื่องการแบ่งปัน คุณพ่อคุณแม่ อย่าเป็นผู้ยุติธรรมเสียเอง จนเด็กไม่ได้ฝึกฝนการเป็นผู้ให้

บ้านที่มีลูกตั้งแต่สองคน จากที่เคยซื้อของเล่น ขนม ให้คนละชิ้น จริงๆแล้วการทระทำเช่นนี้ คือ เรามีความยุติธรรมสำหรับลูกๆ แต่ถ้าลองซื้อมาแค่ชิ้นเดียว เด็กจะเรียนรู้ เรื่องความยุติธรรม สร้างความยุติธรรมขึ้นมาเอง เช่น ปกติกินฮานามิ คนละถุง กินหมดก็จบกันไปต่างคนต่างกิน แต่พอเราลองซื้อมาแค่ ถุงเดียว แล้วให้โจทย์ว่าไปแบ่งกันกิน อย่างยุติธรรม ให้พี่เป็นคนจัดการ แรกๆ ก็หยิบคนละชิ้น แต่คนเคี้ยวเร็วจะหยิบได้หลายชิ้น ลูกคนได้กินน้อย จะรู้จักเรียกร้องความยุติธรรม (ซึ่งนั่นเป็นสิทธิที่เรียกร้องได้)
ครั้งต่อๆไป เค้าจะหาวิธี หรือเราอาจแนะ ว่าก็นับชิ้นแบ่งก็ได้ เค้าจะเริ่มรู้แล้วว่า การแบ่งเท่าๆกัน ยุติธรรมที่สุด

คราวนี้บางทีการแบ่งไม่ลงตัวเนื่องจากเหลือเศษ ทีนี้ล่ะ ลูกจะเรียนรู้แล้วว่า ใครล่ะควรที่จะเสียสละ นี่ต่างหาก การสอนเรื่องความยุติธรรม ไม่ใช่เราจัดให้เค้า แต่เค้าควรรู้จักความยุติธรรมด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ได้ ไม่เอาเปรียบ และรักษาสิทธิตนเองเป็นเมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม


การทำโทษเด็ก


ความผิดอะไรก็ตามที่เด็กทำ ถ้าผู้ใหญ่ ไม่ว่าครูก็ดี หรือผู้ปกครองก็ดี ต้องการที่จะทำโทษ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ถึงความเหมาะสมและควรแก่เหตุหรือไม่ 

การทำโทษของผู้ใหญ่ ล้วนมีวัตุประสงค์เพื่อให้หลาบจำก็จริงอยู่ แต่ต้องเลือกวิธีการที่สมควรและถูกต้อง ไม่เป็นการละเมิดและให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม

การประจานเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเรียกมายืนหน้าห้องก็ดี ตีต่อหน้าสาธารณะ ก็ดี ถึงแม้จะเป็นการทำเพื่อให้เด็กหลาบจำ แต่ผลทางอ้อม เด็กจะต้องรู้สึกถึงความอับอาย และอยู่ในสังคมโรงเรียนได้ยากตามมา เพราะ เค้าจะถูกสังคมลงโทษ ทั้งด้วยถ้อยคำ สายตา หนักเข้าเค้าจะรู้สึกถึงการเป็นคนที่ถูกรังเกียจ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย

นอกจากนี้ ครูและผู้ปกครอง ควรไตร่ตรองถึงผลเสียและผลลัพธ์ในการทำโทษเด็กที่เกินกว่าเหตุ เช่น การแก้ผ้าเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับความอับอาย เพียงเพื่อทำโทษเพราะเด็กไม่นั่งที่ ดิฉันในฐานะแม่คนหนึ่ง เห็นว่าการกระทำนี้ เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และได้ให้คำปรึกษากับผู้ปกครองที่ร้องเรียนเข้ามายังเพจแล้ว 

หากการกระทำเหล่านี้กระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดิฉันก็ขอให้พิจารณายุติการใช้วิธีการในทำนองนี้ เพราะ อาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และเป็นการไม่เหมาะสม เพราะเด็กจะรู้สึกถึงความอับอาย 

อันนี้ฝากไว้นะคะ สงสารใจเด็ก เพราะมีผลกระทบต่อจิตใจ วิธีทำโทษมีร้อยแปดพันเก้า หาวิธีที่เหมาะสมอื่นๆเถอะค่ะ



โง่



"โง่" เป็นคำต้องห้าม ที่ผู้ใหญ่ไม่ควรใช้พูดว่าเด็ก ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆก็ตาม คำว่าโง่ เป็นเสมือนคำสาป ที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของความฉลาด และเป็นการปิดสวิต กระบวนในการเรียนรู้ ปิดกั้นการมองเห็นทางออก นอกจากนี้ยังส่งผลทำให้แสงสว่างทางปัญญาของเด็กๆวูบดับลง 

ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนิยามความไม่สามารถในการแก้ไขปัญหา ความล่าช้าในการประมวลผลทางความคิดของเด็กๆ ด้วยคำว่า"โง่"

เพราะนั่นเท่ากับ เป็นคำสั่งให้ระบบปฏิบัติการทางสมอง ขีดเส้นไว้ให้เด็กใช้เป็นคำตอบ สำหรับความไม่สามารถใดๆก็ตามของตัวเค้าเอง ที่ถูกลงคำสั่งไว้ว่า ที่ไม่สามารถ ทำสิ่งใดได้ ที่ไม่สามารถคิดสิ่งใดได้เพราะเค้า โง่ นั่นจึงเป็นการหยุดกระบวนการทางความคิดทุกสิ่งให้หยุดลง ไม่คิดต่อ เพราะ ย้ำคำสั่งเดิมในหัวว่า "โง่"

อย่าบอกว่า "ลูกโง่". ย้ำและขีดเส้นใต้ สองเส้น


แค่ให้รอก็มากพอแล้ว


แค่ให้รอก็มากพอแล้ว

ลูกๆนั้นพอเริ่มพูดจารู้เรื่อง ก็จะหมั่นซักถามพ่อแม่แล้วว่า ทำงานที่ไหน ทำงานอะไร เลิกงานกี่โมง ?? และเด็กในยุคของการสื่อสารที่ไร้พรมแดน. สามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแม่ได้แล้ว ซึ่งโดยมากคำพูดตามสายโทรศัพท์ ก็จะรัก คิดถึง คุณพ่อคุณแม่กลับมาไวๆ ซื้อขนมมาฝากด้วย จะกลับมาเมื่อไร กลับมาเร็วๆนะ ก็จะประมาณนี้สำหรับบทสนทนา

แต่ความน่าสนใจอยู่ที่พ่อแม่ นี่เอง ที่บางครั้งเราลืมที่จะสนใจในรายละเอียด ในขณะที่ลูกยึดมั่น เชื่อมั่นและเฝ้ารอ
คำเตือน ถ้ายังไม่รู้เวลาที่แน่นอน อย่าระบุเวลากับลูก หรือหากระบุแล้วมีการเปลี่ยนแปลง ต้องแจ้งให้ลูกทราบด้วย เพราะมีผลต่อความน่าเชื่อถือในตัวคุณที่มีผลต่อลูก เมื่อได้ให้สัญญาใดๆไว้กับลูก เช่นจะซื้ออะไรกลับมาด้วย เราก็ควรจดจำให้ได้และทำตามที่ตกลงหรือสัญญากับลูกไว้ เพราะบางครั้งเด็กมีเป้าหมายในการรอคอยคุณเพิ่มขึ้นและมีความคาดหวัง 

สำคัญมากค่ะ คำสัญญา แม้กับเด็กเราก็ต้องรักษามันให้ได้ แค่ลูกเฝ้ารอก็พอแล้ว อย่าให้ลูกพูดว่าเรา ขี้โกหก มันปวดใจ และนั่นหมายถึงมันจะบั่นทอยงนความเชื่อมั่นไปโดยไม่สมควร






เรื่องเล่าเมื่อเรายังเล็ก





ลูกๆชอบฟัง เรื่องของพ่อแม่ตอนเด็กๆ พอเราได้เล่า ภาพเราตอนนั้นมันจะกลับมาชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง และถ้าทบทวนกันดีๆแล้ว เราจะทราบว่า ตัวเรามักมีประสบการณ์ความประทับใจร่วมกับพ่อหรือแม่มากกว่ากัน เคยไปไหนกับพ่อแม่ เคยมีวีรกรรมอะไรที่ต้องจดจำไม่รู้ลืม

ย้อนกลับมา วันนี้ เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาของเหตุการณ์สำคัญๆของลูกผ่านไปโดยไม่มีเรา อยากให้ลูกมีเรื่องเล่าที่มีเราอยู่ในนั้น พ่อแม่ต้องแข่งขันกันที่จะเก็บเกี่ยว ไม่ใช่เกี่ยงกันว่า คุณสิ ชั้นไม่ว่าง 

ณ จุดนี้ โอกาสยังเป็นของคุณนะ เวลาที่คุณมี อย่าใช้มันไปโดยไม่มีคนในครอบครัว เพราะถ้ามันผ่านไป ใครก็ย้อนมันกลับมาไม่ได้


ทำไมเพื่อนๆไม่ชอบหนู??

เพื่อนทำไมไม่ชอบหนู

เป็นเด็กฉลาด เป็นคนเก่งของห้องเรียน เป็นคนพิเศษ โด่นเด่น ในห้องเรียน บางครั้งลูกก็กลายเป็นที่หมั่นไส้ ของเพื่อนๆในห้อง ดังที่มีคำกล่าวว่า ทำตัวดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย 

แม่ท่านหนึ่งสอนเรื่อง การใช้ชีวิตในห้องเรียนได้น่าสนใจ
-เวลาครูถามคำถามในห้องเรียน อย่าเป็นคนเก่งเสียคนเดียว ให้ตอบเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว คำถามอื่นๆ หากรู้ก็ปล่อยให้คนอื่นตอบบ้าง หรือเป็นพรายกระซิบ บอกเพื่อนข้างซ้าย เพื่อนข้างขวา ให้ยกมือตอบ 
-ถ้าครูถามคำถาม แล้วเราตอบไปแล้ว แต่คำถามต่อไปก็ไม่มีคนตอบ ให้ยกมือแล้วถามครูว่า ขอลองตอบได้มั้ย(ทำเหมือนไม่รู้).แล้วแกล้งตอบผิดไปบ้าง

ท่านสอนลูกว่า คนฉลาดแกล้งโง่ได้ แต่คนโง่นั้นแกล้งฉลาดไม่ได้ ดังนั้นผู้รู้ ยิ่งแสร้งไม่รู้จะได้รู้มากขึ้น ได้มิตรมากขึ้น ส่วนคนที่รู้น้อยแต่ทำเป็นรู้มาก จะไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นและพาลจะมีคนเกลียดชัง หมั่นไส้ ถ้าเรียนเก่งแต่มีแต่คนรังเกียจนั้น จะไม่มีความสุขในวัยเรียน เพราะไม่มีมิตร

เอาความรู้ที่เรามี ไว้เตรียมตัวเพื่อใช้ในการทดสอบ วัดความรู้ความสามารถของตัวเอง ตอนสอบ อย่าหวงความรู้ แต่จงขวนขวายหาความรู้ แบ่งปันผู้อื่น ช่วยสอนเพื่อนที่ไม่รู้ให้เข้าใจ ยิ่งทบทวนกับตัวเองกับเพื่อนมากเท่าไหร่ ยิ่งได้ฝึกฝน ยิ่งชำนาญแต่อย่าให้เพื่อนลอก เพราะเป็นสิ่งผิด ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และทำให้เพื่อนยิ่งไม่รู้
-อย่าทำให้เพื่อนอับอาย ถ้าเพื่อนตอบผิด อย่าหักหน้าเพื่อนในห้องเรียน หรือหากเพื่อนให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ให้เก็บไว้บอกเพื่อนทีหลัง 
-อย่าเอาเปรียบเพื่อน เช่นถ้าต้องทำเวรทำความสะอาด อย่าเลือกแต่งานเบา ให้ผลัดเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม และช่วยเหลือเพื่อนคนอื่นๆ จนกว่าจะเสร็จ

ไปโรงเรียน หวังให้ลูกได้ความรู้ คู่กับมิตรสหาย และท้ายที่สุด ต้องมีความสุขด้วย

มิตรภาพในวัยเรียนสวยงาม เพื่อนสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้ เพราะในชีวิตจริงที่ความรู้แก้ปัญหาให้เราไม่ได้ เพื่อนช่วยแก้ได้ และถึงแม้เพื่อนช่วยแก้ไม่ได้ เพื่อนก็เป็นกำลังใจให้ได้



อยากให้ลูกเชื่อฟังเราเหมือนที่เค้าเชื่อฟังครู

อยากให้ลูกเชื่อฟังเราเหมือนที่เค้าเชื่อฟังครู

หลายบ้านที่ถามมาว่าทำไมลูกถึงเอาแต่ใจตัวเอง อยู่บ้านไม่เชื่อฟัง กินข้าวช้า ต้องคอยบังคับ ดื้อ(มาก). ด้วยวามสงสัยลองไปถามคุณครูกัน ส่วนใหญ่พฤติกรรมของลูกตรงกันข้าว อยู่โรงเรียน เค้าน่ารัก เชื่อฟังครูทุกอย่าง ทานข้าวได้เอง และรวดเร็วเสียด้วย ?? อยากได้เด็กคนนี้กลับมาไว้ที่บ้านล่ะสิ ทีนี้ แต่แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องอกหัก ครวาวนี้ลองมาวิเคราะห์กัน ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

** ลูกคุณฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเค้าอยู่เป็นทุน จะดื้อจะซนจะแผลงฤทธิ์อะไร เรียกร้องอะไร ยังไงแล้วคุณก็ยอมอยู่ดี (คุณใจแข็งไม่พอและใจอ่อนตลอด กฏที่ตั้งใจว่าจะเป็นกฏเหล็กเลยไม่เหล็กจริง)
** สังคมโรงเรียน มีกฏเกณฑ์มีระเบียบตั้งแต่ต้นแล้ว เวลาเรียนครูห้ามเล่น ห้ามคุย ห้ามเดิน ทุกคนอยู่ในกฏหมดเลย เพราะใครๆก็อยากให้ครูรักทั้งนั้นแหละ เพราะครูไม่ใช่แม่นะ ที่จะรักลูกแบบไม่มีเงื่อนไข(ถ้าจะพูดว่ารักแบบไม่มีเหตุผลก็คงไม่ผิด). ใครๆก็อย่างให้ครูชม บางทีครูยังมีรางวัลพิเศษอีก มีให้ดาว ให้คะแนน เนื่องจากเด็กนักเรียนมีหลายคน ทุกคนก็แข่งกันน่ารักใหญ่เลย ส่วนที่บ้าน ส่วนใหญ่ไม่มีกฏ กติกา อะไร ไม่ต้องมาช่วงชิงความรัก เพราะคุณรักเค้าแน่นอน เด็กเรียนรู้ได้ค่ะว่าอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ต้องทำตัวอย่างไร

ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากได้ลูกที่น่ารัก เชื่อฟังอย่างใจ ก็อย่างที่เคยให้คำแนะนำไปแล้ว เรื่องการตั้งกฏ เพื่อให้เค้ามีระเบียบวินัยที่บ้าน อย่าปล่อยตามใจ กินข้าวต้องคอยคะยั้นคะยอกัน ให้ลูกต่อรอง กินไปเล่นไป งอแง ไม่มีเหตุผล ใครขัดใจลงไปนอนดิ้น กลางที่สาธารณะ ส่วนมาก ที่เราพลาดคือเราทนเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ มักเขาไปสนองความต้องการลูกแทบจะทันที 

อย่างที่บอก เด็กนั้นฉลาดเค้าเรียนรู้ว่า เค้าใช้วิธีเช่นนั้นๆ จัดการคุณได้ ทุกครั้งที่เค้าทำพฤติกรรมเหล่านั้น เค้าเรียกความสนใจได้ คุณยอม มันเลยเป็นพฤติกรรมที่คุณเฝ้าสงสัยว่าทำไมเค้าดื้อกับที่บ้านแต่น่ารักกับครู จนบางครั้งเราคนพ่อแม่ ไปแอบดูลูกที่โรงเรียน(ตอนเข้าเรียนวันแรกๆ). เราจะเห็นครูเพิกเฉยกับลูกเราเวลาลูกเราร้องกลับบ้านๆ ส่วนใหญ่พ่อแม่ทนไม่ไหวหรอก รับลูกกลับทันที เพราะสงสาร แต่พ่อแม่บางคนใจแข็ง ถ้าเราช่างสังเกตุสักนิดจะเห็นว่า เด็กจะร้องกันสองสามวัน พอรู้ว่าจะต้องอยู่ที่นี่ เค้าจะเลิกร้อง เพราะการทำพฤติกรรมเหล่านั้น ไม่ได้ผลที่โรงเรียน 

ลองคุมกฏของพ่อแม่ให้ดีๆ ค่ะ อย่าปล่อยให้เอาแต่ใจ อย่าทำให้เค้าเชื่อว่ามันจะใช้ได้เสมอๆ ชื่นชมให้ดาวสะสมความดีกับลูก เพื่อแลกกับรางวัลหรือสิ่งที่ลูกอยากได้ ไม่ใช่ร้องไห้แล้วได้เลย ความจริงการเลี้ยงลูกไม่มีใครเก่ง ต้องปรับไปปรับมา วิธีของคนอื่นอาจไม่เหมาะกับลูกเราเป๊ะๆ แต่ต้องหาว่าสำหรับลูกเราแล้ว ต้องแผนไหน

Tiger Moms

ชาวเน็ตชี้ปัญหาการดูแลลูกของพ่อแม่ น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์วิปริตในสังคม ลูกฆ่าพ่อแม่ และหยิบยกวิธีการเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวดแบบ "แม่เสือ"ของชาวจีน ที่เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในนิตยสาร ไทม์ส เมื่อปี 2001 ภาพเรื่องปก นิตยสาร ไทม์ส "The Truth About Tiger Moms" (ภาพ เอเจนซี)

ถ้าใครยังจำได้ถึงข่าวคดีฆาตรกรรมที่ฮ่องกง เป็นที่วิพากวิจารณ์จากทั่วโลก จาก 3 กรณีที่ลูกฆ่าพ่อแม่ และภรรยาฆ่าสามี ที่ชาวโลกออนไลน์ให้ความคิดเห็นและกล่าวกันถึงความตกต่ำของจิตใจและความเสื่อมถอยทางจริยธรรมของคนที่สวนทางกับความเจริญทางด้านเทคโนโลยี พ่อแม่ปล่อยลูกเข้าสู่สังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ 

- เกมส์ออนไลน์ ที่ยั่วยุให้เด็กก้าวร้าว ฟุ้งเฟ้อ สุรุ่ยสุร่าย เพราะรายได้ไม่มี แต่ต้องซื้อ option เพิ่มเพื่อ อัพ level ในเกมส์ พ่อแม่บางคนสนับสนุนก็ซื้อให้เลย พ่อแม่บางคนไม่สนับสนุน มีช่องทางหลายอย่าง เด็กบางคนเก็บเงินค่าขนม เพื่อนำมาซื้อ ยอมอด บางคน พ่อแม่ค้าขาย แอบลักเงินเลยก็มี บางคนเอาสิ่งของไปแลกกับเพื่อนเพื่อให้ได้ option ต่างๆ

- social network ต่างๆ เช่น Line Instagram โดยเฉพาะ Facebook สังคมออนไลน์ที่วันนี้เด็กวัยรุ่นใช้เวลาอยู่กับมันนานกว่าพ่อแม่อีก เพราะออนบน smartphone ตลอดเวลา เป็นโลกที่พ่อแม่ก็เข้าถึงได้ยาก และแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า วันนี้ลูกเราพูดคุยกับใคร 

วันนี้ ถ้าเราสื่อสารกับลูกได้ไม่ดีพอ ไม่เข้าใจเค้ามากพอ เรากำลังส่งลูกเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งโดยไม่รู้ตัว สังคมที่พร้อมจะอยู่กับลูกเราทุกที่ ทุกเวลา พร้อมจะเข้าใจ และอาจเสนอทางออกให้กับลูกเรา ในทางที่ไม่เหมาะสม 

ในเมื่อเราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยี การสื่อสารแบบไร้พรมแดน คนแปลกหน้าที่จะมาพบลูกเราถึงบ้าน ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทางประตูบ้านอีกแล้ว เรา ในฐานะคนเป็นพ่อแม่ มีวิธีทำความรู้จักกับเขาได้อย่างไร ??

สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดให้ลูกฟัง

สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดให้ลูกฟัง 

1. พ่อกับแม่ รักลูกเสมอ และสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่าลูกจะทำสิ่งไหน จะพูดอย่างไรและจะคิดยังไง ความรักของพ่อแม่จะอยู่กับลูกเสมอ
2. ลูกเป็นสิ่งมหัศจรรย์และพิเศษที่สุดของพ่อและแม่ ไม่ใช่ที่ความสามารถที่ลูกมี แต่เพราะลูกเป็นในสิ่งที่ลูกเป็น และลูกไม่จำเป็นจะต้องเหมือนใครๆ ลูกเป็นตัวของลูก
3. การร้องไห้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเศร้า เสียใจ ผิดหวัง มีความสุข โกรธ กลัว หรือกังวลใจ ลูกร้องไห้ได้ และใครๆก็ร้องไห้ได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่พ่อกับแม่
4. ลูกสามารถทำผิดพลาดได้ คนเราอาจทำในสิ่งผิด ใครๆก็เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น พ่อกับแม่ก็เคยทำผิดพลาด แต่เราจะต้องแก้ไขให้มัน และเราจะช่วยกันแก้ไข ทุกๆเรื่อง ลูกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และพ่อกับแม่รู้ดีว่าลูกรู้สึกเสียใจ และพ่อกับแม่พร้อมเสมอที่จะให้อภัยลูก
5. เมื่อลูกตั้งใจทำในสิ่งที่ดี มันอาจต้องใช้ความกล้าและมีความยาก และถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ลูกยังเลือกที่จะทำ พ่อและแม่ภูมิใจในตัวลูกที่สุด และลูกก็ต้องรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
6. พ่อ/แม่ขอโทษ พ่อ/แม่รู้สึกเสียใจจริงๆ ลูกให้อภัยพ่อ/แม่ได้มั้ย
7. ลูกสามารถเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ การตัดสินใจของลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่มันควรจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
8. อะไรเป็นความคิดที่ดีที่สุดของลูก ลูกคิดอะไรอยู่ และลูกตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อเกี่ยวกับความคิดนั้น ขอให้ลูกเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้มั้ย ความคิดลูกเป็นความคิดที่ดี(เราอยากฟัง)
9. ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ลูกได้รับจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือหรือสิ่งอื่นใด ให้ลูกสำนึก และไม่ลืมที่จะกล่าวคำว่า ขอบคุณ
10. เราทุกคนต้องรู้จักที่จะรอคอย เรามีเวลา อย่ารีบร้อนและอย่าประมาท
11. อะไรก็ตามที่ลูกอยากจะทำ ลูกสามารถกลับไปเลือกทำมันได้ตามความคิดของลูก มันเป็นเรื่องที่สำคัญของคนเรา ที่จะเลือกเดินตามความฝันและทำในสิ่งที่เราชอบ
12. ให้ลูกเล่าเรื่องนั้นให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่อยากได้ยินความจริงจากลูกมากกว่าฟังจากคนอื่น และไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พ่อกับแม่จะรับฟังลูกเสมอ
13. พ่อกับแม่จะอยู่ตรงนี้ และจะไม่ทิ้งลูกไปไหนโดยที่ไม่บอกลูกก่อน พ่อกับแม่จะเฝ้าดูลูกและคอยรับฟังลูกเสมอ
14. คำว่าขอโทษและคำว่าขอบคุณเป็นคำที่สำคัญ ถ้ามีครั้งไหนที่พ่อกับแม่ลืมพูดมัน ขอให้ลูกทวงถาม
15. พ่อกับแม่ คิดถึงลูกเสมอ และจะคิดถึงลูกทุกครั้งเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
16. ให้ลูกลองทำดู ค่อยๆลอง ทีละขั้นตอน ทีละน้อย ลูกอาจจะชอบมันก็ได้ พ่อกับแม่จะคอยช่วยเหลือถ้าลูกต้องการ และเราเชื่อว่า ลูกทำได้ 
17. เราจะคอยช่วยลูก แค่ลูกเรียกเราเราจะคอยอยู่ตรงนี้ ถ้าเราช่วยกัน เราจะทำมันได้สำเร็จ และเราเชื่อว่าลูกสามารถทำมันได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน แต่เราจะยินดีถ้าลูกจะเรียกให้พ่อกับแม่ช่วย
18. ไม่ว่าลูกจะปรารถนาสิ่งใด อย่าอธิษฐานมันแค่ตอนจุดเทียนในวันเกิดของลูก พ่อกับแม่อยากได้ยินว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกต้องการ ความหวังความใฝ่ฝันของลูก เราจะมีความสุขและเป็นกำลังใจให้ลูกสมปรารถนา

ถ้าเราเลี้ยงลูกด้วยคำพูดเหล่านี้ ทุกวัน ทุกวัน เรากับลูกจะเข้าใจกัน รักกัน และไม่มีกำแพง อ่านแล้วชอบมาก แปลมาฝากค่ะ ไม่มีอะไรจะดีเท่าสถาบันครอบครัวเข้มแข็ง 

แทนคำขอบคุณ ที่มีคนชอบในสิ่งที่เราทำ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ในช่องทางต่างๆ

www.facebook.com/parents.school
www.twitter.com/greenabple 

จงเคารพแม่!!!

เคารพนับถือแม่ของคุณ
...แม่ของผม มีตาข้างเดียว...
..ผมเกลียดเธอ..เธอน่าอับอาย..
..เธอเป็นแม่ครัว ของโรงเรียน..
..เป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัว..
วันหนึ่ง..ในช่วงที่ผมเรียนชั้นประถม..
แม่เดินเข้ามาทักทายผม..ผมอายมาก..
..ทำไม..เธอถึงทำเช่นนี้กับผม...
..ผมไม่แย่แสเธอ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และวิ่งหนีไป..
...ในวันต่อมา..
..เพื่อนผม ล้อผมว่า แม่ผมมีตาข้างเดียว..
..ผมอยากจะแทรกแผ่นดินหนี..
..ผมอยากให้แม่หายไปจากชีวิต..
..ผมเผชิญหน้ากับเธอในวันนั้น..
..และพูดกับเธอว่า..
..ถ้าคุณแค่อยากให้ผมถูกหัวเราะเยาะ.. ทำไมคุณถึงไม่ตายๆไปเสียเลย..
..แม่..ไม่ได้โต้ตอบใดๆ..
..ผมไม่ได้หยุดไตร่ตรองในสิ่งที่ผมพูดออกไป..
..เพราะผมเต็มไปด้วยความโกรธ..
..ผมลบเธอออกจากความรู้สึก..
..ผมอยากออกไปให้พ้นบ้านหลังนี้..
..ผมไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ..
..ผมตั้งอกตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง..
..และไปศึกษาต่อต่างประเทศ..
..ต่อมา..ผมแต่งงาน มีบ้านเป็นของตัวเอง..และมีลูก..
..ผมมีความสุขกับชีวิต กับลูก และอยู่อย่างสุขสบาย..
..จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่มาเยี่ยมผม..
..แม่ไม่ได้เห็นผมมาหลายปี และยังไม่เคยพบกับหลาน..
..เมื่อเธอมายืนหน้าประตู เด็กน้อยหัวเราะให้เธอ..
..ผมตะโกนใส่เธอ..ว่าใครเชิญให้มาที่นี่..
..ผมตวาดใส่เธอว่า"ทำไมถึงกล้ามาที่นี่..แล้วยังมาทำให้เด็กหวาดกลัวอีก..
..ออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!!!!..
..แม่ของผม เพียงแค่ตอบเบาๆว่า..
.."โอ้ตายจริง!!ขอโทษด้วย ฉันจำที่อยู่ผิด"..แล้วเธอก็หายลับไปจากสายตาผม..
..วันหนึ่ง..จดหมายวันงานคืนสู่เหย้าถูกส่งมาที่บ้าน..
..ผมโกหกภรรยาว่าต้องไปติดต่องาน..
..หลังงานเลี้ยงเลิก..
..ผมแวะไปที่เพิงเก่าๆทั้งที่ไม่อยากจะเห็นมัน..
..เพื่อนบ้านบอกกับผมว่า..
..เธอตายไปแล้ว..
..ผมไม่ได้หลั่งน้ำตาสักหยด..
..เขายื่นจดหมายฉบับหนึ่งที่เธออยากมอบให้กับผม..
..ใจความว่า..

"ลูกชายสุดที่รักของแม่..
..แม่คิดถึงลูกตลอดเวลา..แม่ขอโทษที่แม่เคยไปที่บ้านของลูกและทำให้เด็กหวาดกลัว..แม่ดีใจเหลือเกิน..ที่ได้ยินว่าลูกจะมางานคืนสู่เหย้าที่โรงเรียน..แต่แม่ไม่สามารถจะลุกขึ้นจากเตียง เพื่อไปพบลูกได้..แม่ขอโทษ ที่แม่ทำให้ลูกต้องอับอายเมื่อลูกโตขึ้นมา..ลูกรู้มั้ย เมื่อลูกยังเล็ก..ลูกได้รับอุบัติเหตุทำให้ลูกต้องเสียดวงตาข้างหนึ่งไป..ในความเป็นแม่..แม่ไม่สามารถที่จะทนมองเห็นลูกของแม่เติบโตไปโดยเหลือดวงตาเพียงข้างเดียวได้..ดังนั้นแม่จึงมอบดวงใจให้แก่ลูก..แม่รู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายของแม่ได้มองเห็นโลกใบใหม่ที่ชัดเจนแทนแม่ในทุกหนทุกแห่งด้วยดวงตาดวงนั้น ด้วยความรักทั้งหมดที่แม่มีต่อลูก..

..จาก..แม่ของลูก.."

ไม่ว่าวันนี้เราจะเป็นแม่คนแล้ว หรือยังไม่ได้เป็น อยากให้ทุกๆคนคิดถึงแม่ของเราให้มาก ไม่ว่าวันนี้เราจะอยู่ตรงไหนในสังคม จะสูงส่งด้วยการศึกษา หน้าที่การงานก้าวหน้าแค่ไหน เห็นโลกกว้างไกลเพียงใด เราก็คงไม่ต่างจากคนตาบอด ถ้าเรามองไม่เห็นแม่ของเราเอง วันนี้ แม่คุณอาจ ขี้หลงขี้ลืมแล้ว ทานข้าวหกเลอะเทอะ อาจทำให้คุณอายที่จะพาท่านไปทานข้าวนอกบ้าน แต่ครั้งนึง เมื่อครั้งคุณยังเล็ก คุณคว่ำจานข้าวกลางร้านอาหาร เทน้ำหกเลอะเทอะ อาเจียนใส่เสื้อผ้าแม่ ทำแก้วแตกแทบทุกร้าน แต่แม่ยังพาคุณไปทุกๆที่ อย่าอายเลย ที่จะดูแลแม่ของคุณ วันนี้..คุณบอกรักลูกแล้ว บอกรักคนที่เป็นคู่รัก คุณจำได้หรือเปล่า ว่าคุณบอกรักพ่อและแม่คุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ กอดครั้งสุดท้ายของคุณสำหรับพ่อแม่ เมื่อปีอะไร 

คนเราจะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าไม่มีวันเกิดของตัวเอง

http://youtu.be/s8fTKlDFb6Y



Home Alone

บางครั้งลูกวัยรุ่น ไม่อยากตามคุณออกนอกบ้านในวันหยุด เค้าอาจเลือกที่จะอยู่บ้าน และเสนอตัวช่วยคุณดูลูกอีกคน(ที่ต้องไม่เล็กจนเกินไป). ถ้าต้องปล่อยลูกไว้ที่บ้าน สิ่งที่ต้องกำชับลูก แนะนำ 
กฏ 10 ข้อ เมื่อลูกต้องอยู่บ้านคนเดียว

1.ห้ามลูกชวนใครมาบ้าน 
2.ห้ามเปิดประตูให้ใครทั้งนั้น
3.ล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อย ทุกด้าน
4.ห้ามลูกออกนอกบ้าน
5.ตอบคำถามเฉพาะสายที่โทรจากคนในครอบครัว
6.ถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้โทร 191 ,โทรหาแม่ทันที
7.พี่น้องต้องอยู่ด้วยกัน(อย่าทิ้งน้องไว้ตามลำพัง เพราะน้องอาจเล่นฟืนไฟหรือได้รับอุบัติเหตุ
8.ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าอยู่บ้านตามลำพัง เพราะภัยอาจมาถึงตวลูกได้
9.ทำการบ้านและงานบ้านที่คุณสั่งไว้ให้เสร็จเรียบร้อย
10.ถ้าจะเช็คอินที่บ้าน ต้อง tag แม่ด้วย

หลายๆบ้านติดกล้องไว้สามารถ เปิดดูได้จากสมาร์ทโฟน แต่สำคัญที่สุด รีบไปรีบกลับ และโทรเช็คกับลูกบ่อยๆ ว่ากินข้าวหรือยัง มีใครโทรมาหาคุณหรือไม่ อยากได้อะไรหรือเปล่า 

อย่าลืมๆๆ

เด็กหาย!!

เด็กหาย!!!

ข่าวหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่มันแค่ยังไม่ใช่ข่าวของเราเอง ทุกครั้งที่ได้ยินข่าว เหมือนมันกระเพื่อมให้เราตื่นตระหนกเป็นพักๆ ตอนนี้น่าจะหมดเวลาที่จะมานั่งหวาดผวาแล้วล่ะ หยุดคิดว่าเราเป็นพ่อแม่ที่โชคดีกันเสียที ไม่แน่ข่าวต่อไปอาจเป็นข่าว "ลูกเรา" คนไทยบางคนอ่านปุ๊บ จะคิดว่าเราแช่ง แต่อย่างไรก็ช่างเถอะ คนเขียนบทความนี้โคตรจะหวังดีกับครอบครัวคุณเลย (ความจริงเค้าหาข้อมูลมาเพื่อป้องกันลูกเค้าเองแหละ เพราะเค้าอาจเป็นคนโชคร้ายก็ได้..นี่จริงจัง)

เตรียมความพร้อมให้ตัวเองมากที่สุดในกรณีที่ลูกของเราจะกลายเป็นเด็กที่หายไป?

1.ให้คุณพ่อคุณแม่เขียนคำอธิบายรูปพรรณสันฐานที่สมบูรณ์ที่สุดของลูกตัวเองไว้ ถ้าเปลี่ยนทรงผม สูงขึ้น อ้วนผอมขึ้นลงต้องมาอัพเดทใหม่ (เพราะถ้ามันเกิดขึ้น คุณจะตื่นตระหนก ขวัญหายที่สุด คุณอธิบายไม่ถูกหรอก)

2. ถ่ายภาพสีของบุตรหลานของคุณอัพเดทไว้ทุกๆ เดือน เอาแบบหน้าตรงๆชัดๆ (เคยเห็นใช่มั้ยเวลาที่ญาติมาตามหาคนหาย นำรูปที่ไม่ใช่รูปปัจจุบัน มันทำให้การติดตามยากลำบากเข้าไปใหญ่)

3. ถ้ามีหมอฟันที่ลูกของคุณทำอยู่เป็นประจำ ให้ทางคลินิกเตรียมความพร้อมและเก็บประวัติการรักษารวมถึงแผนภูมิทางทันตกรรมของลูกคุณไว้และให้แน่ใจว่าเขามีการปรับปรุงในแต่ละครั้งอย่างเป็นปัจจุบันทุกครั้งเพื่อสามารถใช้ในการตรวจสอบหรือใช้ประวัติทางด้านทันตกรรมมาอ้างอิงตัวบุคคล (อันนี้สำคัญมากๆ ไปคราวหน้า ไปขอสำเนาประวัติมาเก็บไว้บ้างก็ดีค่ะ)

4. เราน่าจะรณรงค์ให้กับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในประเทศของเราเร่งให้เด็กไปทำบัตรประชาชนกันอย่างจริงจังได้แล้ว (อันนี้แหละประโยชน์ของบัตรประชาชนของเด็ก) เพราะเมื่อไปทำจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือของลูกเราไว้และมันจะถูกเก็บไว้ในทะเบียนประวัติที่เป็นฐานข้อมูลประชากรในที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (บันทึกเลข 13 หลักลูกไว้ในมือถือเสียด้วย)

5.เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากลูกของคุณเช่น เส้นผม ฟันซี่ที่หลุดแล้ว เศษเล็บ แปรงสีฟันเก่า ใส่ไว้ในซองจดหมายสีน้ำตาลให้เรียบร้อยแล้วให้ลูกใช้น้ำลายเลียปิดผนึก เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ที่แห้งที่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ อ้อเก็บให้ห่างจากความร้อนด้วยค่ะ

6. ช่วงนี้ ที่สำคัญสุดๆ คุณต้องบอกกับลูกแล้ว หัดให้ลูกท่องหัดเขียนที่อยู่บ้านเค้าให้ได้  อย่างไรเสีย ภาษาไม่เก่ง พูดและเขียนคำว่า Thailand ได้ก็ยังดี เผื่อพลัดไปไกลถึงต่างแดน เบอร์โทรพ่อแม่ (สำคัญนะ!!!)

7. สอนเรื่องความปลอดภัยให้ลูกมากๆ ถ้าโดนจับไป ต้องปลอดภัยกลับมา บอกลูกไว้ให้อดทน เอาตัวเองให้รอด อย่าร้องไห้ อย่าขัดขืน(เก็บชีวิตของลูกเอาไว้ รอกลับมาเจอแม่ ช้าหรือเร็วไม่เป็นไร ให้ลูกปลอดภัยที่สุด). ถ้าไม่ปลอดภัย อย่าหนี 

8. บอกลูกให้มั่นใจว่า ถ้าลูกถูกใครพาไป ให้ลูกรู้ว่า พ่อกับแม่จะตามหา ให้พบโดยเร็วที่สุด และอย่าเชื่อใคร ถ้าเค้าจะใช้อุบายโกหกลูกว่าพ่อกับแม่ไม่รักลูก หรืออะไรก็ตามทำให้เค้าต้องเอาลูกไปเลี้ยง มันไม่มีวันเป็นเรื่องจริง 

9. จดจำสถานที่ ที่ลูกอยู่ให้ดีๆ ดูป้ายตามซอยต่างๆ ว่ามีตัวอะไรบ้าง สอนลูกเรื่องการดูชื่อสาขาของธนาคาร อะไรก็ตามที่ง่ายที่สุดต่อการจดจำสำหรับเด็ก และย้ำเสมอ อย่าเชื่อใครถ้าเค้าบอกลูกว่า ถ้าลูกไปให้คนอื่นช่วยเหลือ หรือไปหาตำรวจ จะโดนตำรวจจับเพราะลูกทำความผิด(เพราะคนพวกนี้อาจให้ลูกคุณไปช่วยมันทำสิ่งเลวๆ เช่นส่งยาเสพติด ย้ำ!!!ลูกต้องทำที่สั่งเพราะเอาตัวรอด ลูกเป็นคนดีเสมอ และลูกจะปลอดภัย ถ้าแจ้งตำรวจให้พากลับมาบ้าน

ตื่นตูมกันบ้างก็ได้ เด็กหายทั่วโลก ไม่ได้หายเฉพาะในประเทศไทย AEC ที่กำลังจะเปิดปลายปี 58 ไม่ใช่จะมีแต่สิ่งดีๆ คนดีๆเข้ามาในบ้านเรา ถ้าติดตามข่าว พวกขบวนการต่างๆมันจะไหลเข้ามาบ้านเราด้วย เรื่องนี้ไม่ตลก ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่คำว่าสายเกินแก้ 

***ถ้ามีบรรยายโรงเรียนไหน ในโครงการโรงเรียนพ่อแม่ที่เราจะไป รบกวนทวงด้วยถ้าวิทยากรเราลืมพูดถึงเรื่องนี้****

ตีสองแล้วค่ะ อ่านคอมเม้นต์โพสต์ของคุณแม่ที่แชร์มาให้ฟังแล้ว กลัว ไม่อยากให้เกิดกับลูกเรา และก็ไม่อยากให้เกิดกับลูกใคร

สอนลูกเก็บเงิน

สอนลูกเก็บเงิน

ทุกวันนี้ถึงแม้เราจะสอนหรือไม่สอนลูกเรื่องการใช้เงิน ลูกก็ได้เรียนรู้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เพราะเค้ารู้เค้าเห็นในชีวิตประจำวัน และการใช้จ่ายเงินนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก ต้องไม่ปฏิเสธ ว่าคนไทยมีการวางแผนเรื่องการใช้จ่ายเงินกันน้อยมาก เรามักจะจับจ่ายใช้สอยไปกับเรื่องความต้องการมากกว่าเรื่องที่จำเป็น เราซื้อและเลือกกินอาหารที่อร่อยมากกว่าอาหารที่มีประโยชน์ และทุกสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นคือสิ่งที่ลูกจะคุ้นเคยและเป็นมรดกพฤติกรรมทั้งสิ้น สังเกตจากตัวเราเองก็ได้ ของอร่อยที่เราชอบกินตอนเด็ก พ่อแม่เราก็มักตามใจ ถ้าบ้านไหนไม่ถูกบังคับให้กินผัก เราก็จะไม่เลือกกินผัก ถ้าเราใช้จ่ายเงินในทุกความต้องการ ลูกก็จะแยกไม่ออกว่า สิ่งไหน เป็นความต้องการหรือความจำเป็น 

พึงสอนให้ลูกรู้จักการเก็บออม ความประหยัด และทำให้ลูกมองเห็นประโยชน์ ที่จะมีขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ควรเพิ่มมูลค่าของเงินที่เก็บไว้กระปุกออมสิน อย่าสอนให้ลูกหยอดไปเรื่อยๆ วันหยุดลองนำเงินที่ลูกฝากไว้ ไปฝากธนาคาร อาจเป็นธนาคารออมสิน ก็ได้ ตามสาขาที่เปิดให้บริการในวันหยุดตามห้างสรรพสินค้า. เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจ เห็นคุณค่าของเงินออม ทำอย่างนี้ๆทุกเดือน ไปโรงเรียน ต้องสอนให้เด็กลงรายการค่าใช้จ่าย รู้ว่าเงินเดินทางไปไหนซื้ออะไร ดูรายการแล้วถามลูกบ้างว่าสิ่งที่ลูกซื้อมามีความจำเป็นหรือไม่อย่างไรเหลือเท่าไหร่ ทำทุกวัน ให้ติดเป็นนิสัย ให้เป็นคนมีวินัยในการใช้จ่าย 

รีบสอนเสียตั้งแต่เล็กๆ ว่าก็ว่าเถอะ ผู้ใหญ่หลายๆคน ก็ยังไม่มีวินัยในตัวเอง เงินเดือนออกมา หลายคนคิดเสียว่าใช้ก่อน เหลือค่อยเก็บ ความเป็นจริงคือไม่ค่อยได้เก็บ เพราะไม่ค่อยจะเหลือ บางคนใช้เงินอนาคต เป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะรายได้เรือนหมื่น แต่ใช้เงินเรือนแสน ถ้าเป็นไปได้ ไม่แนะนำเลย เพราะตอนใช้มันง่ายแต่ตอนจ่ายมันลำบาก ลูกจะทุกข์ถ้าโตไปอย่างคนขาดวินัยและไม่เก็บออม

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ(ตอนที่ 2)

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 2)

และแล้วก็ถึงเช้าวันแม่(จนได้)  ในเช้าวันที่ 10 หรือวันที่ 11สิงหาคมของปีนั้น เด็กหญิงตื่นเช้าเหมือนเช้าในวันไปโรงเรียนทุกๆวัน เธอไม่กินเช้าในวันนี้ และเริ่มเดินออกจากบ้านไปโรงเรียน จากบ้านไปโรงเรียน ปกติเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง แต่วันนั้นเด็กหญิงวัย 12 ขวบเลือกที่จะเดินนับกระเบื้อง(สมัยนั้นกระเบื้องปูทางเท้าออกจะตารางใหญ่เสียหน่อยไม่ได้เป็นอิฐตัวหนอน). เธอเดินก้าวข้ามช่องหนึ่งแล้วเหยียบในช่องถัดไป นับเป็นเลขคู่ไปเรื่อยๆ จนถึงโรงเรียน 

บรรยากาศในโรงเรียน เป็นบรรยากาศแปลกๆ(เพราะไม่ได้มางานวันแม่ตั้งแต่ ชั้น ป.2) ปีนี้เธอเป็นรุ่นพี่ชั้นสูงที่สุดในโรงเรียน และปีนี้เธอเองก็เป็นคณะกรรมการโรงเรียน เป็นนักพูดสุนทรพจน์ นักโต้วาที ผู้นำกล่าวสวดมนต์ นักดนตรีวงโยธวาทิต น่าจะปลื้มใจในความสามารถตัวเองไม่น้อย  แต่ใครจะรู้ มันเป็นแค่เกราะที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลบปมด้อย เธอเลือกที่จะเข้มแข็งและอดทน พยายามเป็นคนฉลาด เพื่อให้ใครที่ใกล้ชิด ญาติพี่น้อง หรือคนที่รู้จัก คนในครอบครัวเธอ พูดว่าเธอเก่งเหมือนพ่อ หรือคำว่าอะไรก็ตามที่จะบอกว่า แม้ไม่ได้อยู่กับแม่ แต่เธอก็เป็นเด็กดีได้ นี่ล่ะแรงผลักดันที่ทำให้เธอเลือกทำ และเลือกที่จะเป็น แม่.. ไม่มีความสำคัญ และคนเราไม่จำเป็นต้องมีแม่ก็ได้ เป็นสิ่งที่เด็กหญิงพูดกับตัวเองในวัยเด็กทุกครั้ง และแม่จะต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกทอดทิ้งลูกคนนี้

หลายๆครั้งในชีวิตในวัยเรียนชั้นประถม มีเพื่อนหลายคน ชอบล้อเลียนกันเรื่องพ่อแม่ เธอไม่ชอบเพื่อนพวกนี้ ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนโดนล้อว่า พ่อไม่รักเธอหรอก แม่ไม่รักเธอหรอก มันเป็นแค่บรรยากาศสนุกในวัยเรียน แต่เธอไม่สนุก และเจ็บปวดลึกๆเข้าไปในหัวใจ เพราะแม่แหละที่ทำให้เธอต้องรู้สึกอย่างนี้ เพราะแม่ เพราะแม่คนเดียว ทุกครั้งถ้าเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมจากครูที่ทำโทษแบบไม่มีเหตุผล หรือพี่ป้าน้าอาที่ชอบตำหนิเธอ เธอจะนิ่งทุกๆครั้ง ไม่นับตอนที่เค้าว่าพาดพิงไปถึงแม่ ว่า สงสัยจะนิสัยเหมือนแม่ ไม่เรียบร้อยเหมือนแม่ หรือว่าเธอว่าแย่เพราะแม่ไม่สั่งสอน เธอไม่ชอบคำพูดเหล่านี้ จนบางครั้งเธอโต้เถียง เธอไม่ได้เป็นเด็กก้าวร้าวอย่างที่ผู้ใหญ่ตำหนิ  เธออาจจะแย่จริงๆอย่างที่ใครจะว่า แต่เธอไม่อยากแย่เหมือนแม่ ทำไมต้องเหมือน..แม่ล่ะ?? เพราะแม่อีกแล้ว ก็เพราะแม่ไม่อยู่ เลยไม่มีใครสอนให้หนูเป็นเด็กดี เพราะแม่คนเดียวเลย..หนูไม่รักแม่ ที่สุดเลย..เด็กน้อยคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ที่โรงเรียน จัดงานวันแม่ที่สนามหน้าอาคารเรียน แม่หลายๆท่านติดช่อดอกมะลิที่หน้าอก หมายความว่า เค้าได้รับเชิญมาเพราะลูกเค้า ต้องดีเด่นด้านไหนสักอย่าง เรียนดี กีฬาเด่น มารยาทดี หรือไม่ก็ชนะที่ 1 ร้องเพลงวันแม่,แต่งคำขวัญวันแม่,อะไรก็ตามแต่ แต่คนที่ได้รางวัล ชนะเลิศการเขียนเรียงความอันดับหนึ่งของระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 แม่เค้าไม่มารับช่อดอกมะลิ และรางวัลแม่ดีเด่นในวันนี้ ความรู้สึก เด็กหญิง ในวันนี้ คัดค้าน ตั้งแต่เนื้อเพลง ที่เปิดซ้ำๆ หลายรอบนั้นแล้ว 

"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง(ตรงไหน). แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล (ไม่เห็นจะจริงเลย) แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเห ไปจนไกล( นึกไม่เคยออกว่าแม่ร้องเพลงกล่อมและเคยไกวเปวจริงหรือเปล่า)" ....ตลอดทั้งเนื้อเพลง ไม่เห็นจะมีเนื้อหา ที่หมายถึงแม่เลยสักนิด...เพราะแม่..ที่ทำให้เพลงนี้ไม่มีคุณค่า..เด็กหญิงคิดจากมันสมองและความสามารถที่คิดได้แค่นั้น ในวัยเท่านั้น ...เธอตกลงใจจะเกลียดแม่.. ปู่กับย่าและอาๆที่บ้าน พูดเตือนซ้ำๆว่ามันจะบาปนะคนที่เกลียดแม่ เด็กหญิงตอบในใจ แม่...สิน่าจะบาป ทิ้งลูกไป ไม่เห็นจะมีใครไปว่าแม่บ้างเลย คนบ้านนี้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงแม่ให้ฟังเลย แต่เด็กหญิงก็ไม่ได้อยากรู้หรอก เรื่องของแม่ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ และอีกอย่าง เธอไม่รักแม่..

ผลงานนักเรียน ถูกติดไว้ตามบอร์ดต่างๆ ภาพวาดที่ชนะการประกวดทั้ง 6 ระดับชั้น งานสีไม้ สีน้ำ สีน้ำมัน ละลานตา เรียงความที่ชนะเลิศและรองชนะเลิศ ทุกระดับชั้น คำขวัญวันแม่ ต่างๆ ถูกติดไว้บนบอร์ด ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เดินชม กิจกรรมบนเวทีดำเนินไป นักเรียนที่ชนะเลิศในการประกวดร้องเพลงวันแม่ ขึ้นไปร้องบนเวที คนสุดท้าย จบลง เรียกน้ำตาจากแม่และครู บางคนให้น้ำตาซึมๆ ต่อด้วยการอ่านเรียงความของนักเรียนชั้น ป.4 ป.5 ที่ขนะเลิศในการเขียนเรียงความเรื่อง"แม่ของฉัน" คนสุดท้ายกำลังจะอ่านเรียงความจบลงแล้ว เด็กหญิงรู้สึกตื่นเต้น ซึ่งมันไม่น่าเกิดขึ้นกับนักพูดสุนทรพจน์อย่างเธอ ใช่แล้ว เพราะมันเป็นการอ่านเรียงความเรื่องของแม่ไงล่ะ เพราะแม่..เธอกล่าวโทษแม่อีกแล้ว..แทบจะทุกเรื่องไป..แม่ผิดเสมอ

เสียงครูประกาศ แนะนำ "รางวัลชนะเลิศการเขียนเรียงความ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แก่ เด็กหญิง...........  เสียงปรบมือของ เพื่อนๆและรุ่นน้อง ตลอดจนผู้ปกครองที่มาร่วมงานดังขึ้น เด็กหญิงเดินขึ้นไปยืนอยู่กลางเวที ข้างหน้าเธอเป็น stand ที่ปรับไมโครโฟน เท่ากับระดับที่เหมาะสมแล้ว ทุกอย่างดำเนินไป

เรียงความเรื่อง แม่ของฉัน

บ้านของฉันเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย อะไรมากนัก แต่เราก็เป็นครอบครัวที่มีความสุข ตั้งแต่ฉันจำความได้ สมัยที่ฉันยังไม่เข้าเรียนหนังสือ ฉันมักจะเห็นแม่ของฉัน ตื่นขึ้นมาก่อนใครๆในตอนเช้า แม่มักจะไปตลาด และซื้อกับข้าวมาทำให้พ่อและพี่ชาย รับประทานก่อนไปทำงานและก่อนไปโรงเรียน ทุกๆวัน ฉันเป็นคนโชคดี ที่ยังไม่ต้องไปโรงเรียน เลยได้อยู่กับแม่ที่บ้าน ตลอดทั้งวัน แม่เป็นครูคนแรก ที่หัดให้ฉัน นับเลข ท่องตัวอักษร ก.ไก่ ABC แม่อาบน้ำ สระผม แต่งตัวให้ฉันทุกๆวัน

ฉันยังจำได้ดี แม่เป็นคนจับมือฉันเขียนหนังสือ และแม่เล่านิทานให้ฉันฟังทุกๆคืน พี่ชายมักนอนอยู่ข้างๆพ่อ และฉันจะนอนอยู่ข้างๆแม่และห่มผ้าห่มผืนเดียวกับแม่ 

มีครั้งหนึ่งที่ฉันไม่สบาย เป็นไข้ตัวร้อน แม่ฉันอดหลับอดนอนทั้งคืน แม่เฝ้าเช็ดตัวให้ฉัน และต้มข้าวต้มและป้อนข้าวฉัน ดูแลเหมือนกับแม่เป็นหมอเป็นพยาบาล จนฉันหายดี คอยเอาหลังมือมาแตะหน้าผากแล้วบอกให้ลูกสาวของแม่หายเร็วๆ เวลาเป็นหวัดคัดจมูก ฉันหายใจไม่สะดวก แม่อุ้มฉันขึ้นมานอนบนตักของแม่ อ้อมกอดแม่อบอุ่นกว่าผ้าห่มผืนไหนๆ ฉัน.......

เด็กหญิงอ่านเรียงความไป น้ำตาไหลไป มีก้อนอะไรสักอย่างที่ทำให้มันรู้สึกตีบตัน แต่เธอยังอ่านต่อไปเรื่อยๆ ใจความตอนสุดท้าย เธอพรรณาถึงความรักที่มีต่อแม่อย่างสุดหัวใจ และเธอบูชาในพระคุณของแม่ เธอสำนึกถึงคุณค่าของน้ำนมของแม่ ท่อนจบของเรียงความเป็นกลอนบทหนึ่งซึ่งไพเราะจับใจ เธอมองไม่เห็นชัดนักผ่านม่านน้ำตา แต่เธอรู้ว่า คนหลายๆคนร้องไห้ไปพร้อมๆกับเธอ จากภาพของเด็กๆที่เอามือปาดป้ายน้ำตาบนใบหน้า และผู้ปกครองหลายๆ ที่นำกระดาษทิชชูมาซับน้ำตา เด็กหญิงกล่าวขอบคุณ และเดินลงจากเวที ไปเพื่อรับกระดาษแข็งใบหนึ่ง มันคือประกาศเกียรติบัตร ใบหนึ่ง 

ถ้าแม่อยู่ข้างๆ แม่จะดีใจมั๊ย เด็กหญิงคิดในใจ แม่ไม่เคยรู้อะไรเลย ว่าหนูเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กยังไง ตอนหน้าหนาวในวัยเด็กหนูหนาวแค่ไหน เวลาหนูไม่สบาย หนูนอนร้องไห้ และคิดถึงแม่ แต่แม่ใจร้าย แม่ทิ้งหนูไป หนูเลยต้องเกลียดแม่ แม่ทำให้หนูต้องร้องไห้ในวันแม่ทุกๆปี เพราะแม่ เพราะแม่คนเดียว เด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่นานแสนนานในห้องเรียนของเธอ ที่โต๊ะนักเรียน ตัวที่เธอนั่ง ในมือมีปากกาน้ำเงิน เขียนตัวหนังสือย้ำๆเส้นเดิมๆทับไปมา บนคำว่า "กูเกลียดแม่"

**รออ่านตอนหน้า**