วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชีวิตคุณมันดีอย่างที่คุณบอก หรือคุณกำลังหลอกตัวเอง


สวัสดีค่ะ แฟนเพจโรงเรียนพ่อแม่ทุกท่าน


ดิฉัน นิจจารีย์ อร่ามรุ่ง (เปิ้น) ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการโรงเรียนพ่อแม่ และเป็นแอดมินหลัก ของแฟน Page โรงเรียนพ่อแม่ ที่ทุกๆท่านกำลังติดตามกันอยู่นี้ 


จริงๆแล้ว ทั้งที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ดิฉันทำงานอยู่ที่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาธนบุรี สังกัดฝ่ายขยายงานนครหลวง 18 ในตำแหน่ง ผู้บริหารศูนย์ 




วันนี้อยากจะมาเชิญชวน คุณพ่อคุณแม่ หรือทุกๆท่านที่สนใจ เข้ามาทำความรู้จักกับอาชีพ ที่สามารถทำให้ผู้คน สามารถไปถึงเป้าหมายและทำฝันให้เป็นจริงได้ในเวลาที่สั้นที่สุด นั่นคืออาชีพ ตัวแทนประกันชีวิต 


แต่ก่อนอื่น คนที่จะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ก็จะเป็นการดีที่สุดคือการเข้ามา ทำความรู้จักกันเสียก่อน 


พรุ่งนี้ ถ้าใครสนใจที่จะเปิดโอกาส ทำความรู้จัก และสนใจเข้ามาร่วมงาน เป็นทีมงาน ของดิฉันโดยตรง ในอาชีพตัวแทนประกันชีวิต ก็สามารถ โทรเข้ามานัดพบกันหน้างานนี้ได้เลย นะคะ 




หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถ โทรสอบถามได้ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 091-991-1192 ได้เลยนะคะ

ยินดีต้อนรับ ทีมงานจากโรงเรียนพ่อแม่แฟนเพจทุกท่านค่ะ 

****ยังมีอีกหลายอย่างที่คุณอาจยังไม่รู้ เรื่องธุรกิจและอาชีพตัวแทนประกันชีวิต แต่ถ้าคุณอยากรู้ ต้องเข้ามารู้จัก และรู้จริงด้วยตัวเอง****


พิเศษ สำหรับตัวแทนประกันชีวิตใหม่ ที่ สามารถขายกรมธรรม์เพื่อส่งมอบเป็นมรดก  มูลค่า 10 ล้านบาท 
(อัตราเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับแบบประกัน อายุและเพศของผู้ขอเอาประกัน ตัวอย่าง เพศชายอายุ 45 ปี) 
ภายในเดือน ธันวาคม  นอกจากรายได้จากการขาย รับโบนัสพิเศษ ทันที 10,000 บาท

หมายเหตุ: เงื่อนไขนี้ เป็นเงื่อนไขที่ตั้งขึ้น เฉพาะผู้สมัครเป็นตัวแทนประกันชีวิต ในทีมงาน ผู้บริหารศูนย์ นิจจารีย์ อร่ามรุ่ง เท่านั้น 



วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 4)


หนังสือตำราเรียนทั้งหมด ถูกจับหย่อนลงใบลังกระดาษสามสี่ใบ แล้วย้ายไปเก็บไว้ในห้องใต้บันได กระเป๋า puma ถูกบรรจุด้วยเสื้อผ้าสองสามชุด และของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย วันนี้เด็กวัยรุ่นจิตตกตัดสินใจเดินทางไปหาพ่อที่ต่างจังหวัด และยังไม่ตัดสินใจเรื่องการเรียนต่อใดๆเลย 

รถโดยสารวิ่งออกจากกรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นบ้านเกิด เป็นที่อยู่ เรียนและเติบโตมาเพื่อนฝูงมากมาย อยู่ที่กรุงเทพ วันนี้เธอไปตัวเปล่าๆ ไม่แม้แต่จะบอกเพื่อนว่าเธอกลับบ้าน ไม่ทิ้งไว้แม้กระทั่งเบอร์โทรติดต่อและที่อยู่ให้กับใครๆทั้งสิ้น รถโดยสารวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงปลายทางที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด เธอเดินลงมาอย่างไร้ชีวิตชีวา เพื่อต่อรถอีกต่อหนึ่งเพื่อไปยังบ้านที่เป็นที่ทำงานของพ่อด้วย พ่อรู้หมดแล้วว่าเธอเอ็นท์ไม่ติด ทางสายโทรศัพท์ แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเธอไม่อยู่ในอาการที่จะให้คำอธิบายใดๆมากนัก พ่อไม่ได้พูดอะไรที่จะบั่นทอนกำลังใจ มิหนำซ้ำยังบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย คนเค้าเอ็นท์ไม่ติดกันเป็นหมื่นเป็นแสน จะมาหาพ่อก็มา 

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไปบนรถ หลับบ้างตื่นบ้าง ระยะทาง 60 กิโลเมตร รถวิ่ง 2 ชั่วโมง สมแล้วที่เค้าเรียกกันว่ารถหวานเย็น ลงรถแล้วยังต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างต่ออีก 20 บาท มันคงไกลพอแล้ว สำหรับการหยุดพักจากการรับฟังคำถาม คำแนะนำจากใครๆ จากข่าวดีของเพื่อนๆ และช่วงเวลานี้คนที่พลาดโอกาสไม่ควรจะจับกลุ่มพูดคุยกัน เราควรไปตั้งหลักกันเสียก่อน อันนี้เธอคิดได้เอง 

    ภาพตัวอย่างรถโดยสารที่เค้าเรียกกันว่า รถหวานเย็น

พ่ออยู่ใน Office นี่ก็อีกไม่ถึงสองชั่วโมงพ่อก็จะเลิกงานแล้ว มีลูกน้องพ่อหลายๆคนยังนั่งทำงานอยู่ พี่คนหนึ่งเป็นเสมียนที่รู้จักกันอยู่บ้าง เพราะเธอจะมาอยู่กับพ่อตอนปิดเทอม ถามขึ้น "จบมอ 6 แล้วนิ จะสอบเข้าที่ไหน" โหย!! โคตรจะไม่อยากได้ยินคำถามนี้เลย " 555 พี่หน่อง น้องเพิ่งอกหักมาเนี่ย เอ็นท์ไม่ติดอ่ะ ยังเศร้าอยู่เลย ขอลี้ภัยที่นี่สักพักก่อน เรียนมาก เครียด!!" พี่เค้าหยอกล้อนิดๆ แบบเอ็นดู พ่อเลิกงานแล้ว ถามว่า อยากกินอะไร ก็ไม่ได้บอกว่าอยากกินอะไร แต่พ่อก็พาไปกินอาหาร ข้างนอกไม่กินอาหารในโรงอาหารที่ทำงาน อาหารบนโต๊ะตั้งสามสี่อย่างออกมา กินๆๆ เหมือนคนตายอกตายอยาก พ่อถามจะเรียนต่อที่ไหนก็ไปหาข้อมูลมา บอกพ่อว่ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวนึกได้แล้วจะบอก พ่อไม่ได้เคี่ยวเข็ญอะไรอีก แต่พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ว่า "การเอ็นทรานซ์มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดและมันไม่ได้วัดว่าคนที่สอบได้จะสำเร็จ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการจะก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วที่สำคัญ คนเรามีทางเลือกที่จะไปสู่ความสำเร็จได้หลายทาง ลองไปคิดดู เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ได้ พ่อส่งเอง" อันนี้เป็นสุดยอดวาทะประจำปีของพ่อเลย เธอคิดอย่างนั้น แต่ไม่บอกพ่อหรอก เดี๋ยวพ่อจะเขิน 

อยู่ที่ทำงานพ่อเรื่อยๆ จนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ก็ยังไม่มีคำตอบให้พ่อเลยว่าจะเรียนอะไร เช้าๆช่วงปิดเทอมใหญ่หัวใจบอบช้ำ ก็แต่งตัวเหมือนคนงาน ขึ้นไปบนเล้าไก่ เก็บไข่ช่วยคนงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง ไปโรงฟักไข่ ดูมันออกมาร้องเจี๊ยบจ๊าบเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เช้ากลางวันเย็น กินเข้าในโรงอาหารเหมือนคนงาน บางห้องพักของคนงานเค้าทำส้มตำปลาร้า เค้าถามว่า ลูกผู้จัดการกินเป็นมั้ยครับ เธอตอบอย่างนึกสู้ "ซำบายมาก" ที่นี่เธอไม่เคยทำตัวเป็นลูกเจ้านาย ที่นี่สอนสิ่งแปลกใหม่มากมายที่ไม่มีสอนในตำรา คนงานสอนนึ่งข้าวเหนียว จับปูนา สับมะละกอ รีดนมวัว 


เรื่องน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน เกิดขึ้นในช่วงเวลา 3 เดือน หัวค่ำของคืนวันหนึ่งขออนุญาตพ่อไปดูรถมาจับไก่ ซึ่งเค้าก็มาจับมันไปเชือดนั่นแหละ คนงานจับไก่ลงกล่องกันแบบมืออาชีพสุดๆ มันคืองานๆ(ในใจคิดว่านี่มันจะบาปกรรมมั้ยล่ะเนี่ย ไก่เป็นร้อยเป็นพัน ต้องเอากล่องพลาสติก มาแล้วจับไก่ 5 ตัวยัดลงไป แล้วซ้อนกันขึ้นชั่งบนตาชั่ง ตอนจับมันดูแล้วน่าตื่นเต้น คนงานจะจับที่ขามันแล้วเหวี่ยงมันลงไปในกล่องด้วยความรวดเร็วพอครบ 5 ตัวเค้าก็จะ ยกกล่องนั้นโยนขึ้นไปบนรถมีคนงานส่วนหนึ่งรออยู่บนนั้น เพื่อรอจัดเรียงเป็นแถวๆ ใจนึงก็อยากลอง ใจนึงก็กลัว สุดท้ายก็ เอาวะ ต้องลอง ตัวแรกๆกว่าจะจับได้ กล้าๆกลัวๆ คนงานเลี้ยงไก่ เว้าภาษาอีสาน แปลเป็นไทยได้ความว่า ไม่ต้องกลัว ทำอย่างนี้ เลือกตัวที่มันหันหลังก็ได้ จับขามันโยนใส่กล่องเลย ยึกยักอยู่ช่วงแรกๆ ไม่นาน ไก่ 200 กล่อง 1000 ตัวก็ถูกลำเลียงขึ้นรถ นี่คืองานหนึ่ง มันเป็นอาชีพของเค้า เค้าคือ "ครู" ของเรา นี่ไง สิ่งที่เธอได้ ก่อนคนได้ใบปริญญา  วันนั้น เธอได้เบี้ยเลี้ยง ที่มาลงจับไก่ด้วย 150 บาท ดีใจมากเลย แต่มันหมดภายในวันรุ่งขึ้น 

หมดเวลาแห่งความบันเทิง เช้าวันหนึ่งพ่อถามว่า จะเอายังไง จะเปิดเทอมแล้ว จะเรียนที่ไหนหรือยังไง เค้าสมัครกันแล้วหรือยัง ความจริงแล้วยังไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะในเรื่องเรียน แต่ก็ตอบพ่อไปว่า ตัดสินใจแล้ว พ่อถามว่าที่ไหน ตอบพ่อว่า โรงเรียน...อยู่ในตัวเมือง จะเรียน ปวส.  เค้ารับสมัคร เด็กจบ ม.ปลาย แต่เรียน 2 ปี กับอีก 2 ซัมเมอร์ มีสองสาขา มีบริหารธุรกิจ บัญชี กับบริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ ลูกเลือกอย่างหลัง เด็กหญิงตอบอย่างคนมีข้อมูล จนพ่อต้องถามกลับว่า ไปรู้จักโรงเรียนนี้แต่เมื่อไร เพราะอยู่กรุงเทพแต่เล็กแต่น้อย เธอหันมาถามพ่อ "พ่ออยากรู้จริงๆรึเปล่า 555 ลูกฟังมาจากคลื่นวิทยุ ชุมชน เห็นมันโฆษณาทุกวันเลย เอาที่นี่เลยละกัน มุมมองโลกของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ต้องมหาวิทยาลัยก็ได้ ความรู้มันอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ที่มหาวิทยาลัย ดูคนงานเลี้ยงไก่ คัดไข่เร็วกว่าเธอ เรียงไข่ต่อแผงเร็วกว่า นี่ล่ะ อาจารย์ ที่ฟาร์มแห่งนี้ เธอเรียกคนจบ ป.6 ม.3 ว่าอาจารย์อยู่หลายคน 





พ่อไม่มีคำแนะนำอะไร และพาไปสมัครในที่สุด วันเปิดเทอมวันแรก กับชุดที่ต้องใส่สูททับลงไป เมื่อยืนกลางแดดร้อน หน้าเสาธง ร้อนตับจะแตกตาย ผอ. ขึ้นมากล่าวต้อนรับเปิดเทอม รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลเรื่อยลงไปจากแผ่นหลัง ถ้าไม่ติดขอบกระโปรงที่ถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัด มันคงไหลลงไปถึงง่ามก้น รองเท้าส้นสูง ก็สร้างความทรมานไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เด็กในชั้นปีอื่นๆ ที่ได้เรียนร่วมกันมาแล้วในปีก่อนๆ พูดคุยกันเป็นคู่ๆ ส่วนในแถวเรา ทุกคนน่าจะไม่ได้รู้จักกัน เราจึงได้แต่ฟัง ผอ. พูดจนจบและแยกย้ายไปตามห้องเรียน




มันเป็นความแปลกใหม่ในโลกของการศึกษา สมัยนั้น มันเป็นช่วงของคอมพิวตอร์ในยุคแรกๆ ที่แผ่นดิส ยังเป็นแผ่นอ่อนอยู่ แผ่นใหญ่่ๆ และเธอก็เพิ่งจะรู้จักมันเป็นครั้งแรก หมายถึงที่ต้องมาจับต้องและใช้งาน ส่วนเคยเห็นน่ะเคยเห็นมาแล้ว แต่ช่วงม.ปลายสมัยนั้นยังไม่เปิดเรียนคอมพิวเตอร์กันเลย นั่งมองแป้นพิมพ์แล้วคิดในใจว่า เราจะเรียนได้หรือเปล่านี่ ครูที่สอน ก็เริ่มสอนตั้งแต่เปิดสวิตท์หลังเครื่อง กดปุ่ม power on-off จนถึงการปิดเลย แต่เท่าที่รู้ๆคือทุกๆคนในห้อง(จบ ม.6เหมือนกันหมด )ไม่มีใครเคยใช้มาก่อนเหมือนกัน ในการเรียน ที่นี่ เด็ก ปวส.บริหารต้องเรียนพิมพ์ดีดด้วยในห้องพิมพ์ดีด ครั้งที่เราเดินเรียนในวันแรกไปถึงห้องพิมพ์ดีด รุ่นน้องยังเรียนไม่เสร็จ ต้องไปยืนรอ แม่เจ้า!! จะเทพไปไหน ทุกคนในห้องรัวมือไปบนแป้นพิมพ์ มือมองเอกสารด้านข้าง ว่องไว มากๆ เหมือนทุกคนกำลังแข่งขันกัน ในบรรยากาศ ตรงนั้น มีแต่เสียงก้านพิมพ์ที่กระทบกระดาษบนแกน นี่มันโลกใหม่จริงๆนะ แต่หญิงสาวเธอคือคนที่มาจากโลกใบเดิม โลกที่เธอคุ้นเคย เหมือนมาจากดาวอีกดวงหนึ่ง เมื่อเธอมานั่งหน้าแป้นพิมพ์ ครูให้ท่อง "ฟ ห ก ด    ่  า ส ว "  พิมพ์ชุดคำนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งหน้ากระดาษ ลีลาแตกต่าง เพราะต้องคอยแอบมองบนกระดาษ เพราะมันคอยจะผิดอยู่เรื่อย เธอรู้สึกขำตัวเอง นึกขำๆ นี่เราไปอยู่โลกไหนมาเนี่ย เราถึงเพิ่งมารู้จักกับสิ่งนี้ ครูมัธยมยังให้เขียนรายงานเป็นหน้าๆอยู่เลย ที่นี่เค้าสอนพิมพ์ดีด ตั้งแต่ ปวช.ปี1 หมายถึง ม.4 เด็กที่อายุเท่าเราที่นี่ พิมพ์ดีดเป็นแล้ว อัยย่ะ !! ตอนเราจบ ม.3 เรามองข้ามสายอาชีพไปเลย ที่บ้านบอกว่ามันไม่ดี เพื่อนๆก็ต่อ ม.ปลายกัน คนไหนไปเรียนพานิชย์ เราก็ไม่ได้ไปถามไถ่อะไรเลย ก็เหมือนอยู่คนละซีกกันเลยนะ คิดแล้ว เสียดายเวลา




อ่านต่อตอนหน้านะคะ

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่3)

"จะมีลูกสักกี่คนที่ไม่รู้ว่า แม่ตัวเองชื่อนามสกุลอะไร ที่เธอเขียนมานี่ไม่ตรงกับเอกสาร ในใบสูติบัตรที่ทางโรงเรียนมีอยู่นะ เอ้า เธอเอาแผ่นนี้ไปกรอกใหม่ แม่เธอเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ..โธ่ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่จะเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ก็คนไม่มีแม่ เด็กหญิงที่กำลังจะจบ การศึกษาในระดับประถมพึมพำในใจ 

ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรออก เสียงครูก็ดังแหวกอากาศขึ้นมา นี่เธอ วันนี้เธอจะกรอกส่งเลยไหม??  หรือจะเอามาส่งครูพรุ่งนี้??  อ๋อ วันนี้เลยค่ะ คุณครู หนูจะรีบขอ ใบ รบ.ไปสมัครเข้าเรียน ม.1 หนูขอใบเกิดมาลอกหน่อยได้มั๊ยคะ?? ครูยื่นแฟ้มบวมๆ มาวางข้างหน้า พร้อมกับพูดอย่างเบื่อหน่าย เธอจะไปทำอะไรรุ่งเรืองเห๊อะ!! ไม่มีความพร้อมอะไรเลย สำเนาบัตรประชาชนแม่เธอก็ไม่มี ชื่อแม่เธอก็เขียนผิด นี่ๆ เห็นมั้ย ชื่อแม่เธอน่ะชื่อนี้ เธอเขียนผิดเป็นคนละคำคนละชื่อเลย นามสกุลแม่กับพ่อเธอก็ใช้คนละนามสกุลกัน เธอไม่รู้หรือไง??  

ค่ะ คุณครู หนูไม่รู้เลย หนูเพิ่งรู้วันนี้แหละว่า พ่อกับแม่หนูใช้คนละนามสกุล และก็เพิ่งมารู้ด้วยว่า แม่หนูชื่อนี้ ใบเกิดใบนี้คงเป็นสำเนา ตัวจริงคงอยู่กับพ่อที่ต่างจังหวัด หนูก็กรอกชื่อกับนามสกุล ผิดอย่างนี้มาตั้งแต่หนูเขียนหนังสือได้ เพราะหนูไม่ได้อยู่กับแม่ และที่บ้านก็ไม่มีบัตรประชาชนแม่ด้วย 

เด็กหญิงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ โรงเรียนใกล้เลิกแล้ว เธอยังไม่ได้ขึ้นไปบนห้องเรียน เพื่อเก็บกระเป๋านักเรียนเลย เธอต้องมานั่งกรอกเอกสารใหม่ ในเอกสารอีกใบ สมัยก่อน มีแต่ยางลบแปดเหลี่ยมสำหรับลบปากกา ครูเลยให้มานั่งกรอกทั้งใบเพราะคงกลัวมันจะเลอะเทอะ แม่นะแม่ แม่อีกแล้วนะ ที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวาย พ่อก็อีกคน แค่ชื่อแม่ก็ไม่เคยบอก รู้แต่ชื่อเล่น ของแม่ โธ่เอ้ย แล้วครูยังจะว่าอีก ว่าแต่แรกก็น่าจะเขียนมาเลยว่า หย่าร้าง จะมากรอกทำไมว่าสมรส นามสกุลเดียวกัน ที่อยู่เดียวกัน วุ่นวาย!!! ....  ทุกอย่างๆๆๆๆๆๆ มันเริ่มต้นวุ่นวายมาตั้งแต่แรก คงตั้งแต่แม่ทิ้งพวกเราไป หนูจะเกลียดแม่ และหนูก็จะไม่กลับมาโรงเรียนนี้อีกด้วย และเราจะเริ่มต้นกันใหม่ จะไม่มาพูดเรื่องแม่กันอีก กำลังจะจบแล้ว

ชีวิตใหม่เริ่มต้นในโรงเรียนมัธยม ความสนุกสนาน มีแต่สิ่งใหม่ เดินเรียนขึ้นอาคารโน้นลงอาคารนี้ โรงเรียนนี้ใหญ่โต มีนักเรียน ที่สอบผ่านเข้ามาเรียนในชั้น มัธยม 1 ตั้ง 500 คน เด็กหญิงคนเดิมในโรงเรียนใหม่ เธอจำได้แม่นยำ ว่า เธอกรอกลงตรงสถานภาพสมรสของพ่อแม่ว่า "แยกกันอยู่" แค่นั้น และจะไม่พูดถึงมันอีกที่นี่ เรียนให้สนุก เล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรม ห้องสมุดกว้างมาก มีห้องสมุดแบบโสตทัศนศึกษา เข้าไปนั่งดู VDO ฟังเพลงกันได้เลย เด็กหญิงรู้สึกภูมิใจที่เธอเป็น 1 ใน 500 คนที่สอบผ่านและได้มาเรียนที่นี่ พ่อและคนที่บ้าน ทุกคนพอใจ เธอไม่คิดอะไรต่อจากนี้อีกแล้ว เรียนๆๆ 

มีครูสมัยประถม คนหนึ่ง เคยสอนวิธีการอ่านหนังสือเรียนให้กับลูกศิษย์ในชั้นเรียน มันเป็นวิธีที่สุดยอดและเธอก็ใช้วิธีนั้นมาตลอดตั้งแต่ ป.3 คืออ่านบทเรียนล่วงหน้ามาก่อน ที่จะมีการสอน ถ้าทำการบ้านเสร็จ จัดตารางสอนแล้ว ก่อนจะหย่อนหนังสือลงกระเป๋า เธอก็จะอ่านหนังสือพวกนั้นเสียก่อน หนึ่งบท หลายๆคนในห้องก็ใช้วิธีนี้กัน เธอสังเกตุได้จากการตอบคำถามก่อนเรียน ที่หลายคนรู้เนื้อหามาก่อน แต่สิ่งที่เธอมักทำเพิ่มจากที่ครูสั่งคือการ สรุปเป็นโน๊ตย่อ สำหรับบทนั้นๆ ลงในกระดาษสมุดหน้ากลาง แล้วนำมาพับเป็นสี่ตอน เขียนทั้งด้านหน้าด้านหลังได้ถึงแปดคอลัม มันเป็นไอเดียร์ที่ดีมากๆ และมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อนำมาใช้ในช่วงมัธยม เพราะต้องนั่งรถเมล์ไปเรียน ซึ่งอย่างน้อยก็ใช้ฆ่าเวลาในช่วงรถติดได้อย่างดีทีเดียว ในส่วนเนื้อหาที่สรุปจะเขียนด้วยปากกาน้ำเงิน ส่วนพวกสูตร คำศัพท์ และส่วนที่สำคัญจะถูกเขียนด้วยปากกาแดง ถ้ามีเวลามาก คำศัพ์ในวิชาภาษาอังกฤษจะถูกแปลมาแล้ว รวมทั้งคำตอบที่อยู่ท้ายบทก็จะถูกทำไว้แล้วด้วยเช่นกันในกระดาษโน๊ตนี้ แต่ในหนังสือเรียนมักไม่เขียนอะไรลงไป เพราะมันเป็นหนังสือที่ยืมเรียน ต้องให้รุ่นน้องได้ใช้ต่อ 



ถึงแม้บางอย่างที่เธอรู้คำตอบในสิ่งที่ครูถามเธอก็มักจะไม่เลือกที่จะเป็นคนยกมือขึ้นตอบ เพื่อให้คนที่เค้าเป็นเจ้าประจำอยู่แล้วได้ตอบ เพราะเป็นสิ่งที่เค้าชอบ นอกเสียจากว่าครูจะชี้นิ้วเรียกเธอให้ตอบ เพราะเธอจะเป็นพวกนั่งแถวหลังและอยู่ริมหน้าต่าง เป็นโซนเดียวกับพวกเรียนหางแถว ที่เป็นกลุ่มสาระไม่เน้น เน้นความบันเทิง ซึ่งเธอมักจะเป็นคนหยิบยื่น คำตอบให้เพื่อนกลุ่มนี้เสมอ ถ้าครูยิงคำถามยากมาให้ อาจเป็นเพราะอยากให้เพื่อนๆรัก เลยไม่อยากให้ใครสักคนรู้สึกหมั่นไส้ จึงวางตัวอยู่กลางๆ ไม่อยากเด่นอยากดัง ซึ่งลึกๆก็คือ ไม่อยากให้ใครมาขุดปมที่อยู่ลึกๆเรื่องเด็กที่ถูกแม่ทิ้ง เด็กบ้านแตก มาพูดกันอีกแบ้วกระมัง

ช่วง ม.ต้น ไม่ค่อยมีอะไรกดดันเท่ากับช่วง ม.ปลาย เพราะพอขึ้นเรียนชั้น ม.4 จะถูกแยกให้เรียนไปตามสาขาต่างๆชัดเจนมากขึ้นแล้ว หลายๆคนทำกิจกรรมน้อยลง แล้วหันไปเคร่งเครียดกับตำหรับตำรามากขึ้น บางทีมันมากจนดู เกินไป มากจนกลายเป็นเหมือนคนเห็นแก่ตัว หญิงสาวรู้สึกอย่างนั้น ก็จะไม่ให้รู้สึกได้อย่างไร เพื่อนบางคน ทิ้งเวรทำความสะอาดตอนเย็นด้วยเหตุผลว่าต้องไปติวเตรียมสอบ เพื่อนหลายๆคนในห้องไม่ได้ไปเรียนกวดวิชา แต่อยากได้แนวเนื้อหาจากสถาบันกวดวิชาจากกลุ่มเด็กเรียน(เยอะ)บ้าง พวกนี้ก็จะแสดงอาการ "หวง" และบ่ายเบี่ยงต่างๆนาๆ เพราะเค้ามองว่า มันคือสิทธิที่อยู่เหนือคำว่ามิตรภาพ ซึ่งหญิงสาวไม่ได้ใส่ใจ เรื่องการเรียนมากจนละทิ้งความสุขที่ควรจะมี เพราะอะไรน่ะหรือ ความสุขมันเป็นสิ่งหายาก เธอต้องการมีเพื่อน ต้องการหัวเราะ ได้เล่นบาสกับเพื่อนๆ กลางวันแดดเปรี้ยงๆ ก็สุข การอยู่ในชมรมอาสา ก็สุข การจับกลุ่มกันร้องเพลงกับเพื่อนๆในห้องก็สุข การเรียน ก็เป็นความสุข การแว๊บไปนั่งเรียนกับเพื่อนห้องอื่นในชั่วโมงที่เป็นคาบว่างของตัวเองก็เป็นความสุข จึงไม่แปลกที่ใครๆในรุ่นจะรู้จักเธอมากมาย และเรียกเสียงฮาจากใครต่อใครได้เสมอ มันไม่ควรจะต้องมาแข่งขันอะไรกันในห้องเรียนมากมาย  เธอยอมจะทำเรื่องตลกๆให้เพื่อนได้ขำเสียมากกว่า เมื่ออยู่ในชั้นเรียน ช่วง ม.ปลาย ซึ่งมันทำให้เพื่อนๆทุกกลุ่มยอมรับเธอ เป็นมิตรต่อกันมากกว่าที่จะทำตัวฉลาด มีหลักการณ์อวดรู้ให้เพื่อนๆ หมั่นไส้ แต่มักจะทำตัวเป็นเสือซุ่ม เมื่อกลับถึงบ้าน ซึ่งเป็นเฉพาะช่วงก่อนสอบ แค่หนึ่งหรือสองสัปดาห์ 

มันเป็นกฏหรือเปล่า?? หรือมันเป็นโครงสร้างของเยาวชนหรือเปล่า?? ที่เด็กที่เรียนสายสามัญจะต้องสอบเอนทรานซ์ เข้าสถาบันอุดมศึกษา ให้ได้ ตอนนี้เด็กสาวในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเองก็ถูกกดดัน เสียงคนที่บ้าน คุณปู่คุณอา พูดแต่ว่า คนข้างบ้านโชคดี เค้าติดวิศวะ ลูกบ้านนั้นปีที่แล้วเค้าติดนิเทศ ลูกคนโน้นไปเรียนหมอ ลูกคนนี้ไปเรียนโน่น เรียนนี่ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว เพื่อนหลายๆคนพ่อแม่เค้าให้ไปเรียนกวดวิชากันทุกเย็นหลังเลิกเรียน และวันเสาร์อาทิตย์เต็มวัน เด็กหญิงคนนี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครเลยที่รู้ว่า เธอเดินมาผิดทาง เพราะตอนจบ ม.ต้น เธอเลือกเรียนตามเพื่อน ในสายการเรียนวิทย์-คณิตย์ ทำให้ต้องทั้งเสียเงินและเสียเวลา ติว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อยู่ที่ตึกที่มีรูป ไอสไตน์ ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ เสียสองปี แต่ในโค้งสุดท้ายตัดสินใจ จะสอบเอนทรานซ์ และเลือกสอบในคณะที่อยู่ในสาย คณิต-อังกฤษ แทน และเลวร้ายที่สุด เธอไม่ติด!!  



เจ้ากรรม ทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ มันย่ำแย่ขนาดนั้น เค้าจะรู้บ้างมั้ยว่าแค่การที่เพื่อนๆ โทรมาแล้วบอกว่าคนนั้นติดที่โน่นที่นี่ และคำตอบที่ต้องบอกเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "ชั้นเอ็นฯไม่ติดว่ะ". มันก็ทำให้เด็กเสียกำลังใจไปมากพอแล้ว เด็กหญิงเก็บตัวอยู่ในห้องลำพัง อยู่เงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความผิดหวังไหลออกมา ไม่มีคำปลอบโยนหรือให้กำลังใจใดๆ จากผู้ปกครอง นอกจากเสียงห้วนๆที่บอกว่า ออกมากินข้าวได้แล้ว?? ซึ่งมีเพียงคำตอบจากในห้องขังนั้นตะโกนออกมาว่า. "ยังไม่หิว กินไปก่อนเลย" เธอไม่กล้าพอที่จะยกหูโทรศัพท์ ไปบอกพ่อ ที่อาจกำลังรอข่าวดีจากเธออยู่ ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างโหดร้าย มันกลับมาอีกแล้ว ความผิดหวัง เธอกำลังมองหาใครสักคนหนึ่งมารับผิดชอบความรู้สึกนี้..แม่..แต่ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ครั้งนี้เธอร้องหาแม่เบาๆ ในใจ "แม่..ถ้าแม่อยู่ แม่จะพูดอะไรบ้าง แม่จะปลอบใจหนูมั๊ย แม่อาจจะบอกว่าไม่เป็นไร หนูเสียใจ แม่กอดหนูหน่อย หนูไม่ไหวเลย!!!"  ทำไมแม่ไม่มาอยู่ข้างๆเวลานี้..เวลานี้ เธอไม่รู้สึกเกลียดใครเท่าเกลียดตัวเองเลย 


รออ่านตอนหน้าค่ะ




วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ (ตอนที่ 1)


แม่..ผู้หญิงที่คุณอาจเคยเกลียดเธอ(ตอนที่ 1)

เด็กหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป เหมือนเด็กคนอื่นๆในโรงเรียน เธอเริ่มเรียนในชั้นประถม เธอชอบไปโรงเรียน มีเพื่อนมากมาย เธอรักคุณครู เธอชอบการเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ห้องสมุด บ่อปลาที่โรงเรียน สนามเด็กเล่น ทุกๆอย่าง ในโรงเรียน ที่นี่..คือบ้านอีกหลังหนึ่งที่ชื่อว่า "โรงเรียน"

วันหนึ่งเด็กน้อยถือกระดาษสีน้ำตาล เธออ่านหนังสือไม่ออกหรอก แต่คุณครูพูดย้ำแล้วย้ำอีก ว่าต้องนำกระดาษใบนั้นไปให้ผู้ปกครอง ที่บ้าน กระดาษแผ่นนั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน และท่อนหนึ่งถูกฝากส่งจากที่บ้านเพื่อกลับมามอบให้กับคุณครูในวันรุ่งขึ้น

สองสัปดาห์ผ่านไป(โดยประมาณ) เด็กหญิงถึงรู้ว่า ในกระดาษสีน้ำตาลแผ่นนั้น เป็นจดหมายเรียนเชิญ "แม่" ให้มาร่วมในกิจกรรมวันแม่ ของทางโรงเรียน เพราะวันนั้นเด็กหญิง มาโรงเรียนพร้อมกับผู้ปกครองที่บ้าน แต่ทว่า คนที่มาด้วยนั้น ไม่ได้เป็น "แม่" แต่เป็น "พ่อ" ที่อุตสาห์ เดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาร่วมกิกรรมในวันนั้นแทน

บรรยากาศในเช้าวันนั้น อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ีเสียงเพลงค่าน้ำนม เพลงใครหนอ สลับกับเสียงประกาศของคุณครู ดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหญิง ที่ในใจเธอไร้ความสุขที่สุด ในบรรยากาศอย่างนี้

พิธีการดำเนินมาถึงตอนที่ คุณครูให้เด็กๆมอบดอกมะลิ ให้แม่ และกราบลงที่ตัก ของแม่ เด็กน้อย บรรจงหยิบดอกมะวางลงบนมือพ่อ และกราบอย่างที่เพื่อนๆในแถวเดียวกันทำ เธอกอดพ่อของเธอ และร้องไห้ เหมือนกับเพื่อนๆของเธอ แต่ในความคิดของเด็กน้อยเวลานี้ ไม่ได้มีความสุข เธอมีคำถามเกิดขึ้นมากมายในใจ มากมาย ทำไมเธอไม่มีแม่มาในวันนี้?? ทำไมเธอถึงไม่มีแม่?? ทำไมแม่ถึงไม่อยู่กับเรา??

ปีนั้นเป็นปีเดียวที่เธอมาร่วมกิจกรรมในวันแม่ของทางโรงเรียน และในปีต่อๆมา เธอไม่มาร่วมกิจกรรมในวันแม่อีกเลย เธอเกลียดวันแม่ เกลียดแม่ และไม่อยากสนใจอะไรอีก เธอตั้งใจเรียนหนังสือ และสนุกสนานกับเพื่อน ไม่เหลวไหล เพราะเธอมีพ่อที่ใส่ใจ และรักเธอมากที่สุดในโลก เธอรู้ในข้อนี้ดี และเธออยากให้พ่อเธอภูมิใจ จน ปีการศึกษาปีสุดท้าย "วันแม่" กำลังจะมาถึงอีกแล้ว

ครูประจำชั้น ป.6 ของเธอ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทย เข้ามาบอกให้นักเรียนทุกๆคนในห้อง เขียนเรียงความ เพื่อเก็บคะแนน และส่งประกวดในกิจกรรมวันแม่ของโรงเรียน ความยาว 2 หน้า. กระดาษฟุลสแก๊ป เด็กหญิงกลับบ้านพร้อมการบ้านหลายๆอย่างในวันนั้น รวมทั้งเรียงความเรื่อง "แม่ของฉัน"

เพราะเป็นวันหยุด ไม่ต้องรีบเร่งทำการบ้านนัก การบ้านทุกอย่างทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ยกเว้น เรียงความ เด็กหญิงเลือกทำมันท้ายที่สุดในเวลาก่อนนอนในคืนวันอาทิตย์ และเก็บมันไว้ในกระเป๋านักเรียน เพื่อส่งในวันจันทร์

ไม่มีอะไรที่น่าใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเรียงความ และเรื่องวันแม่ เพราะปีนี้ คงต้องลาป่วยเหมือนปีก่อนๆ เพราะยังไงๆ เธอก็ไม่อยากมา เธอไม่อยากฟังเพลงค่าน้ำนม ไม่อยากเห็นแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ และ เธอไม่อยากมาโรงเรียนกับ"พ่อ"

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ครูประจำชั้น เรียกเด็กหญิงไปพบ เพื่อบอกเธอว่า เรียงความของเธอได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดเป็นรางวัลชนะเลิศในระดับชั้น ป.6 เด็กหญิง ดีใจที่สุดที่เธอได้รับรางวัลที่ 1 แต่คำพูดของครูที่พูดต่อจากนั้น ทำให้เธอแทบจะอยากย้อนเวลากลับไป และไม่เขียนเรียงความฉบับนั้น ครูบอกให้พาแม่มาร่วมกิจกรรมวันแม่ เพื่อรับรางวัลเป็นแม่ตัวอย่าง ในปีนี้ด้วย เหมือนลำไส้บิดตัวรุนแรง เด็กหญิงตอบครูด้วยสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่แม่จะมางานนี้ที่โรงเรียน เธอบอกครูว่า หนูขอสละสิทธิให้กับอันดับที่สองแทน ครูป้อนคำถามมาทันทีทันใด ว่า เพราะอะไร?? เด็กหญิงตอบครู พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาหลังจากที่พยายามต่อสู้ที่จะฝืนเก็บมันเอาไว้ "หนูไม่มีแม่ค่ะ คุณครู แม่เลิกกับพ่อไปตั้งแต่หนูยังเล็กๆ หนูไม่มีแม่"

ครูสองหรือสามคนตรงนั้น มองหน้ากันไปมา ท้ายที่สุดครูประจำชั้นถามขึ้นว่า แล้วเรื่องราวพวกนี้ เธอเขียน ขึ้นมาได้อย่างไร เด็กหญิงก้มหน้า และตอบว่า" แม่ในเรียงความ เป็นแม่คนที่หนูอยากมี เป็นแม่ในฝันของหนู ค่ะ หนูอยากมีแม่แบบนี้ หนูก็เลยเขียน มาส่งคุณครู"

ครูประจำชั้น เข้ามากอดเด็กน้อย ครูสองสามคนตรงนั้น น้ำตาไหล และพูดอะไรกันบางอย่าง แต่เด็กหญิงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ตาเธอพล่าด้วยน้ำตาเต็มม่านตาคู่นั้น และในใจเธอร่ำไห้ดังมากกว่าเสียงร้องที่เธอข่มมันไว้...

**ขออนุญาตนำมาลงอีกในครั้งหน้านะคะ ติดตามอ่านให้จบ อาจจะได้อะไรจากเรื่องนี้มากๆ

ตั้งโปรแกรมลูกเสียใหม่




หลายๆทฤษฎี บอกว่าเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกได้โดยการตั้งโปรแกรมใหม่ ปลูกฝังสิ่งที่ต้องการให้ลูกเป็นลงไป คล้ายๆการใส่ซอร์ฟแวร์ลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ 

ง่ายๆ เด็กดื้อๆเด็กเกเร อย่าได้ไปตอกย้ำว่าเค้า ดื้อ เกเร ไม่น่ารัก การพูดกับเค้าเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการฝังโปรแกรมลบ เค้าจะค่อยๆเชื่อว่าเค้าเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น 

ครูในชั้นเรียนโรงเรียนหนึ่ง(ที่รู้จักกัน) ได้ทดลองเอาการฝังโปรแกรมนี้ ไปใช้กับเด็กนักเรียนที่ ไม่สนใจเรียน อืดอาด เชื่องช้า โดยการเปลี่ยนจากการต่อว่า ทำโทษ ตอกย้ำเด็กทุกๆวัน เป็นการสร้างความเชื่อให้นักเรียนของเธอ ว่า วันหนึ่ง นักเรียนคนนี้จะต้อง ทำงานได้เร็วขึ้น และปลุกพลังความเก่งที่หลับอยู่นั้นให้ตื่นขึ้นมา 

ทุกๆวัน แม้ว่านักเรียนคนนี้จะดีขึ้นมาเพียงแค่เล็กน้อย ครูก็จะบอกว่า โอ้โฮ เห็นมั๊ยว่าหนูทำได้ หนูรู้มั้ยว่าหนูเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่หนูไม่เอาออกมาใช้ ลองกลับไปเขียนหน้านี้ให้เสร็จ ครูเชื่อว่าหนูทำได้ ครูพูดและทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กชายคนเฉื่อยชาคนนั้นกลับไปหลับอยู่ในร่างเด็กชายคนใหม่ที่กระตือรือร้น เค้าค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และดีขึ้นๆอย่างน่าอัศจรรย์ 

และนี่เองที่เปลี่ยนแปลงอัจฉริยะระดับโลกอย่างไอสไตน์มาแล้ว....ความเชื่อ...ถ้าลูกยังสร้างความเชื่อนั้นไม่ได้ พ่อแม่และครูช่วยเค้าได้

งานของแม่





แม่ทุกคน ทำงานที่หนักและเหนื่อย มากๆ ยิ่งถ้าแม่คนไหนได้เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง แบบเป็นคุณแม่เต็มเวลา จะรู้ซึ้งดี

งานของแม่ สำคัญเหมือนงานหมอ เรารับผิดชอบต่อ ชีวิตและลมหายใจของลูกน้อย ติดตามลูกตลอดในยามเจ็บไข้ เป็นเหมือนนางพยาบาลเช็ดตัว ป้อนหยูกยา วัดไข้ ขับถ่าย ไอจามคอยตามล้างตามเช็ด เก็บกวาด ดูแลที่หลับที่นอน อาหารการกินของลูก ทุกเวลา ก็ไม่แพ้แม่บ้าน แม่ครัว เหมือนเวรยามคอยระแวดระวังภัยให้กับลูก ครูคนแรกก็แม่นี่เอง ที่ฝึกสอนพูดจา หัดเดิน จับมือลูกเขียนหนังสือ หัดลูกนับเลข ไหนจะขับรถรับส่งไปโรงเรียน รับเรื่องราวร้องทุกข์จากลูกทุกวันเหมือนร้อยเวร และเหมือนศาลที่ต้องให้ความยุติธรรมกับลูกด้วย วันดีคืนดีก็ร้องเรียกค่าขนม ก็ไม่พ้นนายธนาคารอย่างแม่ที่ต้องให้เบิกถอน 

งานของแม่ทุกๆคนมีคุณค่า และแม่ทุกๆท่านก็ทำให้โลกนี้งดงาม 

ถ้าเราทำงานใดงานหนึ่งอยู่ แล้วมันหนักมันเหนื่อย ความรับผิดชอบมากมาย ไม่มีเวลาพักผ่อน รายละเอียดมาก เจ้านายจู้จี้ และไม่มีค่าตอบแทน อยากถามว่า เราจะทนทำงานนั้นอยู่หรือไม่ ??

แต่งานในความเป็นแม่ เป็นอย่งที่กล่าวมาทั้งหมด แต่แม่ทุกคนยืนหยัดที่จะทำ ดังนั้น แม่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่า

ถ้าจะมีใครสักคนตำหนิคนเป็นแม่ ว่าทำหน้าที่ทุกวันนี้บกพร่องและไม่ดีพอ อย่าได้เก็บคำพูดนั้นมาเป็นอารมณ์ งานของแม่นั้น ทำตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครที่จะรักลูกของเรา เท่าคนที่เป็นแม่ 

เป็นกำลังใจให้ผู้เป็นแม่ทุกท่านค่ะ




ฝากไปถึงครูอนุบาล


มีเรื่องร้องเรียนมากมาย เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และการใช้ความรุนแรง(แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่สมควร )

เด็กๆเลือกที่จะไม่ฟ้องพ่อแม่นะ เพราะเค้าน่ะกลัวคุณครูอยู่แล้ว ในเมื่อเรายกให้ครูเปรียบเป็นแม่คนที่สองแล้ว เราไม่ได้หวังแค่วิชาความรู้ เท่านั้น อยากให้ครูให้ความรัก ความอาทรณ์ ความอ่อนโยน การปฏิบัติ ต่อลูกศิษย์ที่ครูพึงจะกระทำด้วยสำนึก และจิตวิญญาณแห่งการเป็นครู 

อยากให้ครูได้รู้ ว่าคนเป็นแม่ เค้าร้อนใจน่ะมันไม่ใช่เรื่องแปลก เค้าก็ทำหน้าที่ของการเป็นแม่ ไม่มีใครเรียกร้องให้ครูทำอะไรมากไปกว่า หน้าที่ของการเป็นครู สิ่งที่ครูบางคนทำ ครูบางคนเป็น บางอย่างไม่มีคนเห็น แต่ครูเองต้องรู้อยู่แก่ใจ ว่าวันนี้ครูเป็นอย่างไรกัน



ข้อมูล ของเด็กนักเรียนอนุบาลในกรุงเทพ ที่ต่างจากนักเรียนต่างจังหวัด ที่พบมากที่สุดคือ

- มาโรงเรียนสายบ่อยมากๆ ไม่เคยได้เคารพธงชาติก่อนเข้าห้องเรียน 

ถ้ามีปัญหาเรื่องการเดินทาง ตื่นให้เช้าขึ้น การไปโรงเรียนก่อนเข้าแถว สัก 15-20 นาที เราจะเห็นภาพเด็กๆวิ่งเล่นกันแถวสนาม ฟังเค้ายืนร้องเพลงชาติร่วมกับเพื่อนๆ 

ค่อนข้างเชื่อว่าการมาโรงเรียนสาย เด็กรู้สึกหดหู่ กับคำถามของครู ของเพื่อน ถ้าโดนเพื่อนล้อ ไม่อยากไปเรียนก็มีนะคะ สำหรับเด็กๆ 

ไม่อยากให้พ่อแม่ให้เหตุผลลูกว่า ไม่เป็นไร บ้านเราอยู่ไกล คนอื่นเค้าก็มาสาย สิ่งเหล่านี้จะบ่มเพาะให้ลูกขาด "วินัย"

วินัย คือ สิ่งที่ต้องทำ ในเวลาที่ต้องทำ แม้ไม่อยากทำก็ตาม 

พ่อแม่ต้องมีก่อน ถ้า ตี 4 ครึ่งคือวินัยของพ่อแม่ ก็ต้องตื่นนะ วินัยของลูก ตี 5 ครึ่ง ก็ต้องทำ การมาสาย ขาดวินัย

สำคัญ!! มากเช่นกัน



แม่ขา..หนูโตแล้ว




แม่เรียกลูกๆมาตรวจเล็บในวันเสาร์ แล้วก็นั่งตัดๆ ไป 
-ลูกชายถามว่า ทำไมเล็บต้องยาวออกมาตลอดเลย 
แม่นั่งยิ้ม เล็บก็เหมือนผม นั่นแหละ ยาวออกมาเรื่อยๆต้องคอยตัดให้สั้น ไม่งั้นเชื้อโรคจะไปซ่อนอยู่ พอหยิบอะไรเข้าปาก มันจะเข้าปากไปด้วยทำให้ป่วย จบ
-ลูุกสาวถามว่า ทำไมแม่ยังตัดเล็บให้หนูอีกคะ หนูตัดเล็บเองได้แล้ว หนูโตแล้วนะคะคุณแม่
แม่นั่งยิ้ม "แม่ยังตัดให้หนู เพราะว่าแม่ยังอยู่กับหนู และดีแล้วที่หนูตัดเล็บของหนูเองได้ วันนึงที่แม่ไม่อยู่หนูจะได้ทำเอง คนเป็นแม่ทุกคน ยังอยากทำโน่นทำนี่ให้ลูกอยู่เสมอไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหนก็ตาม

วันนึงหนูมีลูก หนูจะเป็นอย่างแม่เหมือนกัน ลูกสาวตอบว่า ไม่นะ หนูจะให้เค้าตัดเล็บเอง (แม่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ แต่ในใจคิดว่า เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ แล้วแม่ยังอยู่ แม่จะคอยดูเอง )

คุณตาทุกวันนี้ยังชอบคดข้าว รินน้ำ เตรียมไว้ให้แม่อยู่เลย บางวันยังเดินไปตลาดซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาไว้ให้แม่ด้วย บางครั้งแค่พูดว่าปวดหัว ก็เดินหายไปพักนึงกลับมาพร้อมยาพาราสองเม็ดกับน้ำหนึ่งแก้ว บางครั้งไม่พูดอะไร แต่ไอแค่กๆ ตาก็กลับมาพร้อม ยาแก้ไอตาตะขาบ 5 ตัว กับชวนป๋วยปี่แป่กอ ตราลูกกตัญญู(พ่อน่าจะสื่ออะไรสักอย่าง 555). 

แม่ได้มรดกนี้มาจากคุณตา แม่ก็ต้องส่งต่อให้ลูก และแม่ไม่เชื่อว่า หลานๆแม่จะไม่ได้

คนเป็นพ่อแม่ เค้าเป็นกันตลอดชีวิต คนยังไม่เป็นเค้าไม่รู้หรอก วันนึงลูกจะเข้าใจ